เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่ กองบังคับตำรวจน้ำ (บก.รน.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ ผบก.รน. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร และ นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร ร่วมตรวจสอบผลจับกุมขบวนการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา ตำรวจ บก.รน. รับแจ้งจากสายลับว่า มีลักลอบขนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลผิดกฎหมายเข้ามาเพื่อจำหน่ายในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน จึงนำเรือตรวจการณ์พร้อมกำลังพลออกลาดตระเวน กระทั่งเมื่อไปถึงบริเวณปากร่องน้ำเจ้าพระยา พบเรือบรรทุกน้ำมันสีดำ หัวเรือเขียนชื่อ MITA 1 กำลังแล่นเข้ามาในร่องน้ำเจ้าพระยา จึงสั่งการให้หยุดและเข้าตรวจสอบ พบนายนิมิตร์ เพชรรัตน์ เป็นกัปตันเรือ พร้อมลูกเรืออีก 8 คน จากการตรวจสอบพบของเหลวใสสีเหลืองคล้ายน้ำมันดีเซลบรรทุกอยู่ในระวางเรือจำนวนหนึ่ง เมื่อตรวจสอบจากทะเบียนเรือ พบว่ามีระวางเรือความจุ 1.2 ล้านลิตร จึงสอบถามถึงเอกสารการได้มาของสิ่งของดังกล่าว เอกสารทะเบียนเรือ และใบอนุญาตใช้เรือ ปรากฏว่าไม่สามารถนำมาแสดงกับตำรวจได้ จึงควบคุมเรือเข้ามาและสั่งการให้ทิ้งสมอบริเวณปากคลองสรรพสามิต ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ  

ต่อมาประสานเจ้าหน้าที่ศุลกากร และเจ้าหน้าที่สรรพาสามิต ร่วมตรวจสอบ โดยตรวจเก็บตัวอย่างของเหลวหาสารมาร์คเกอร์ ผลการเบื้องต้นพบว่าเป็นน้ำมันดีเซลและพบค่าสารมาร์คเกอร์ มีความเข้มข้น 31 ซึ่งสารมาร์คเกอร์ดังกล่าวใช้สำหรับเติมน้ำมันส่งออกไปต่างประเทศ และได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต เมื่อนำส่งออกไปแล้วจะไม่สามารถนำกลับเข้ามาในราชอาณาจักรได้อีก หากนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร ถือเป็นการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นการกระทำผิดตาม ​พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 242 ข้อหาผู้ใดนําเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรฯ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ริบของนั้น และ ความผิดตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต มาตรา 203, 204 ข้อหามีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่ไม่เสียภาษี เพื่อจำหน่าย หรือจำหน่ายโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับตั้งห้าเท่าถึงสิบห้าเท่าของค่าภาษีที่ต้องเสีย หรือทั้งจำทั้งปรับ  อีกทั้ง ความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 242 ถือเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป