สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ว่าวัลเนวา ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพของฝรั่งเศส เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับผลการทดสอบประสิทธิภาพทางคลินิกระยะที่สาม ของวัคซีน “วีแอลเอ 2001” พัฒนาร่วมกับบริษัทไดนาแวกซ์ของสหรัฐ โดยใช้เทคโนโลยีเชื้อตาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากโรคโควิด-19 ให้แก่มนุษย์ โดยใช้อาสาสมัคร 4,012 คน อายุตั้งแต่ 18 ปี เข้าร่วมการทดสอบในสถานที่ 26 แห่งทั่วสหราชอาณาจักร


ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างอายุไม่น้อยกว่า 30 ปี จำนวน 1,040 คน จะได้รับวัคซีนของวัลเนวา 2 เข็ม ฉีดห่างกัน 28 วัน ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นผู้มีอายุตั้งแต่ 30 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีนแบบสุ่มในอัตรา 2 ต่อ 1 โดยรับวัคซีนของวัลเนวาทั้งสองเข็ม หรือรับวัคซีนทั้งสองเข็มของแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด ซึ่งใช้เทคโนโลยีไวรัล เวกเตอร์


ผลปรากฏว่า จากอาสาสมัครอายุ 30 ปีขึ้นไป จำนวน 990 คน ซึ่งได้รับวัคซีนของวัลเนวาทั้งสองเข็ม มีค่าเฉลี่ยภูมิคุ้มกันชนิดสลายไวรัส (neutralizing antibody) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่รับวัคซีนของแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด ทั้งสองเข็ม ประมาณ 40% ขณะที่อาการไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของวัลเนวาแทบไม่เกิดขึ้นในอาสาสมัครคนใด แม้อาสาสมัครบางคน “มีอาการเข้าข่าย” ติดโควิด-19 แต่ไม่มีใครมีอาการรุนแรง


ขณะที่ ศ.อดัม ฟินน์ จากมหาวิทยาลัยบริสทอล ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมงานทดสอบวัคซีนของวัลเนวาในครั้งนี้ แสดงความพึงพอใจอย่างยิ่งต่อผลการทดสอบ และให้ความเห็นว่าประสิทธิภาพของวัคซีนวัลเนวา “เทียบเท่าหรืออาจดีกว่า” วัคซีนของแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด และในอนาคตน่าจะเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ไม่ประสงค์ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ที่พัฒนาจากเทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเอ และการเก็บรักษาวัคซีนของวัลเนวายังสะดวก เนื่องจากอยู่ได้ในอุณหภูมิตู้เย็น คือ 2-8 องศาเซลเซียส เหมือนวัคซีนเชื้อตายอีกหลายแบบ.

เครดิตภาพ : REUTERS