เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ สำนักงาน ป.ป.ส. นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อม พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 ร่วมแถลงจับกุม นายกิตติธร แสนท้าว อายุ 24 ปี และ นายกานต์ ธนาวงศ์ไพศาล อายุ 24 ปี ทั้งสองเป็นชาวม้ง พร้อมของกลางไอซ์ 288 กิโลกรัม ยาบ้า 4.4 ล้านเม็ด รถกระบะ อีซูซุ ดีแมคซ์ สีเทา ทะเบียน ผต 3908 นครปฐม ลักษณะต่อตู้ทึบด้านหลัง และรถกระบะ โตโยต้า รีโว่ สีดำ ทะเบียน 2 ฒง 2348 กรุงเทพมหานคร พร้อมยึดทรัพย์สินเงินสด 1.1 แสนบาท และทองรูปพรรณ 2 รายการ 

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจ บช.ภ.5 ร่วมกับ ตำรวจ บก.ภ.จว.เชียงราย และสำนักงานป.ป.ส.ภาค 5 จับกุม นายชาญชัย แซ่เล่า และพวกรวม 4 คน พร้อมของกลางยาบ้า 5.9 ล้านเม็ด และรถจยย. 4 คัน ได้ที่ด่านตรวจยาเสพติดแม่โถ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ต่อมาขยายผลจนทราบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเคยนำยาเสพติดไปส่งที่โกดัง บริเวณ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีติดป้ายอำพรางว่าเป็นร้านรับซื้อของเก่า จึงร่วมกันสืบสวนเฝ้าติดตาม กระทั่งจับกุมขบวนการได้เมื่อวันที่ 20 -21 ต.ค. สอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่า ถูกจ้างวานขนยาเสพติดมาจาก นายสันติ แซ่ลี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดียาเสพติดรายสำคัญ ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการติดตามตัว
   

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ เตรียมขยายผลจากของกลางยาเสพติดที่ตรวจพบ โดยจะไปเปรียบเทียบกับยาเสพติดในคดีต่างๆ ที่เคยจับกุมได้ก่อนหน้านี้ในพื้นที่ บช.ภ.5 ทั้งนี้ จากการตรวจสอบไอซ์ที่บรรจุเป็นห่อ พบว่าเป็นการส่งต่อไปยังประเทศที่สาม โดยผ่านไปยังพื้นที่ภาคใต้ ส่วนยาบ้า เชื่อว่าจำหน่ายอยู่ภายในประเทศ 
   

ด้าน นายวิชัย กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าว เป็นการบูรณาการความร่วมมือของหลายหน่วยงาน จากนี้จะเร่งขยายผลจับกุมบุคคลที่เกี่ยวข้องและยึดทรัพย์สิน เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ และโครงสร้างการค้ายาเสพติดรายสำคัญดังกล่าว โดยแนวทางการขยายผลยึดทรัพย์และสืบสวนการเงินเพื่อทำลายเครือข่าย ส่วนการติดตามจับกุมตัว นายสันติ หัวหน้าขบวนการ พบว่าได้หลบหนีไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ใช้ชื่อเครือข่ายว่า ‘หนูเจิ้น’ ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. เตรียมตั้งรางวัลนำจับ มูลค่า 5 แสนบาท นอกจากนี้ จะมีการขอข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อจัดทำลำดับความสำคัญ และมูลค่ารางวัลนำจับเครือข่ายยาเสพติด โดยจะจัดทำเป็นโปสเตอร์ หรือปฏิทินหมายจับ ให้ประชาชนที่อยู่ทั้งในและต่างประเทศช่วยติดตามจับกุมตัว ซึ่งผู้แจ้งเบาะแสจะได้เงินรางวัล 75 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่จับกุมจะได้ส่วนแบ่ง 25 เปอร์เซ็นต์