ฤดูกาลนี้ มีนักเตะญี่ปุ่นมาเล่นใน “เดอะ แชมเปี้ยนชิพ” ถึง 8 คน

นั่นคือคือ ทัตสึฮิโร ซากาโมโตะ (โคเวนทรี), โกกิ ไซโตะ (ควีนส์ปาร์ค-ยืม), ยู ฮิราวากะ (บริสตอล ซิตี-ยืม), ยูกิ โอฮาชิ (แบล็กเบิร์น), ไดกิ ฮาชิโอกะ (ลูตัน), อาโอะ ทานากะ (ลีดส์), ทัตสึกิ เซโกะ (สโตค) และเรียวทาโร สึโนดะ (คาร์ดิฟฟ์)

นี่ยังไม่รวมที่เล่นในลีกวันอีก 2 คน คือ อายูมิ โยโกยามะ และ โทโมกิ อิวาตะ ที่เล่นกับเบอร์มิงแฮมทั้งคู่

ทำไมนักเตะญี่ปุ่นถึงเลือกมาเล่นในลีกรองของอังกฤษกันหลายคน?

เรื่องนี้ น่าสนใจ และถ้าจะหาคำตอบ อาจต้องไปดูกรณีของหนึ่งในตัวท็อประดับกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นอย่าง อาโอะ ทานากะ ที่ย้ายจาก ฟอร์ทูนา ดุสเซลดอร์ฟ ในเยอรมนี มายัง ลีดส์ ยูไนเต็ด ในวันปิดตลาดซื้อขายนักเตะ

ดีลนี้เหมือนจะเสี่ยง แต่ถือเป็นความเสี่ยงที่ได้รับการคำนวณอย่างรอบคอบแล้วสำหรับลีดส์

อาโอะ ทานากะ ในฟุตบอลโลก

หลังจากที่ได้ลงสนามและคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของเกมหลายครั้ง รวมถึงมีบทบาทสำคัญในแดนกลางของทีม ที่นำโดย แดเนียล ฟาร์เค ผลลัพธ์ครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าเกินคาดสำหรับ ลีดส์ ยูไนเต็ด

เพราะพวกเขาสามารถเซ็นสัญญานักเตะคุณภาพระดับพรีเมียร์ลีกในราคาที่น่าทึ่งมากๆ คือแค่ราว 3.5 ล้านยูโร หรือ 3 ล้านปอนด์เท่านั้น

ทานากะ เพิ่งเข้ามายังถิ่น เอลแลนด์ โรด ได้แค่ 4 เดือน ยังสร้างผลกระทบได้ขนาดนี้ มันจึงไม่แปลกที่หลายทีมในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ จะสนใจนักเตะจากแดนอาทิตย์อุทัย

และนี่คือ 7 เหตุผลง่ายๆ ว่าทำไม นักเตะญี่ปุ่นถึงได้รับความนิยมในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ จากการวิเคราะห์ของ ทิม คีช ผู้ร่วมก่อตั้ง MRKT Insights ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาสำหรับทีมบรรดาทีมในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ หรือ อีเอฟแอล เรื่องการคว้านักเตะใหม่มาร่วมทีมโดยเฉพาะ

  1. การเปลี่ยนแปลงกฎใบอนุญาตทำงานหลัง Brexit
    ก่อน Brexit สโมสรฟุตบอลในอังกฤษเผชิญข้อจำกัดในการเซ็นสัญญานักเตะญี่ปุ่น

เนื่องจากกฎของสหภาพยุโรป (EU) เน้นการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีเฉพาะในประเทศสมาชิก ทำให้ทีมจากอังกฤษสามารถเซ็นสัญญากับนักเตะญี่ปุ่นได้ก็ต่อเมื่อเป็นนักเตะที่ติดทีมชาติชุดใหญ่

อย่างไรก็ตาม หลัง Brexit หรือ อังกฤษ ออกจาก EU ระบบใบอนุญาตทำงานของอังกฤษเปลี่ยนไปใช้ ระบบคะแนน (points-based system) ซึ่งพิจารณาผลงานของนักเตะในลีกต้นทางและการติดทีมชาติเป็นเกณฑ์

สิ่งนี้เปิดโอกาสให้ลีก J1 ของญี่ปุ่นกลายเป็นตลาดนักเตะใหม่สำหรับทีมใน EFL

  1. ผลกระทบจากความสำเร็จของนักเตะญี่ปุ่นในยุโรป
    ความสำเร็จของนักเตะญี่ปุ่นในยุโรปที่เราคุ้นเคยกัน อย่างเช่น

คาโอรุ มิโตมะ ที่สร้างผลงานโดดเด่นกับไบรท์ตัน, เคียวโงะ ฟุรุฮาชิ, ไดเซ็น มาเอดะ, เรโอะ ฮาตาเตะ ที่มีบทบาทสำคัญในการนำ เซลติก คว้าแชมป์สกอตติชพรีเมียร์ชิพ

ตัวอย่างเหล่านี้ทำให้ทีมในอังกฤษเริ่มมั่นใจมากขึ้นในการดึงนักเตะจาก J1 League โดยไม่ต้องรอให้นักเตะเหล่านี้ไปพิสูจน์ตัวเองในลีกยุโรปก่อน

มิโตมะ ทำผลงานเอาไว้ดี ทำให้มีคนเดินตาม
  1. ความคุ้มค่าทางการเงิน
    ตลาดนักเตะญี่ปุ่นยังคงมีราคาย่อมเยาอยู่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับนักเตะจากยุโรปหรืออเมริกาใต้

ค่าตัวของนักเตะญี่ปุ่นที่เซ็นตรงจาก J1 League มักอยู่ในช่วง 100,000-500,000 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่าตัวนักเตะจากลีกยุโรปที่เคยเล่นในลีกดังกล่าวมาก่อนอย่างมาก

และถ้าหากเซ็นนักเตะโดยตรงจาก J1 League ค่าตัวอาจอยู่ที่ 500,000 ปอนด์ แต่หากรอนักเตะไปเล่นในลีกเบลเยียมหรือเยอรมนีก่อน ราคาจะพุ่งสูงถึง 5 ล้านปอนด์

  1. การพัฒนาเทคโนโลยีวิเคราะห์นักเตะ
    การใช้เทคโนโลยีช่วยสอดแนมนักฟุตบอลจากลีก J1 และ J2 เช่น การวิเคราะห์วิดีโอการเล่นและการเก็บข้อมูลเชิงลึก ทำให้สโมสรสามารถประเมินศักยภาพของนักเตะได้อย่างแม่นยำขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งแมวมองในพื้นที่

สโมสรขนาดเล็กใน EFL เช่น โคเวนทรี ซิตี หรือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี ที่มีงบประมาณจำกัด จึงสามารถค้นหานักเตะที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น และถ้าหากสนใจคนไหน ก็สามารถติดต่อมาร่วมทีมได้ทันที

  1. ความเหมาะสมของสไตล์การเล่น
    ลีก J1 ของญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นฟุตบอลที่มีความเทคนิคสูง และการครองบอลเป็นหลัก

ซึ่งนั่นสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นในแชมเปี้ยนชิพ ที่เน้นการเล่นแบบครองบอลและการผ่านบอลสั้นมากขึ้น

ตัวอย่างทีมที่ใช้สไตล์นี้ได้สำเร็จ ได้แก่ เซลติก ภายใต้การคุมทีมของ แอนจ์ โปสเตโคกลู และ ไบรท์ตัน ที่ มิโตมะ กลายเป็นนักเตะที่โดดเด่น และเป็นตัวหลักที่ทีมจะขาดไปไม่ได้

คีช ยืนยันว่า “ถ้าคุณมองหานักเตะที่คุ้นเคยกับการเล่นในสไตล์ครองบอล ตลาดญี่ปุ่นถือเป็นตัวเลือกที่ดีและราคาไม่แพง”

แอนจ์ ปอสเตโคกลู ช่วยสนับสนุนนักเตะเอเชีย
  1. ฟุตบอลโลก 2022: จุดเปลี่ยนสำคัญ
    ทีมชาติญี่ปุ่นทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลกปี 2022 ด้วยการเอาชนะทีมชาติเยอรมนีและสเปนในรอบแบ่งกลุ่ม

นักเตะ 26 คนในทีมล้วนมีประสบการณ์เล่นใน J1 League ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับทีมในอังกฤษว่าพวกเขาสามารถเล่นในระดับสูงได้ เท่ากับว่านักเตะญี่ปุ่นได้รับการการันตีไปในตัว

  1. การมองไปข้างหน้า: ตลาดใหม่ที่น่าสนใจ
    แม้ว่าตลาดนักเตะญี่ปุ่นกำลังเติบโตใน EFL แต่ตลาดอื่น ๆ เช่น อเมริกาใต้และแอฟริกา ก็เริ่มได้รับความสนใจเช่นกัน

“การใช้สิทธิ ESC (Elite Significant Contribution) ช่วยให้ทีม EFL สามารถเซ็นสัญญานักเตะเยาวชนที่มีศักยภาพได้ง่ายขึ้น”

ตลาดในอเมริกาใต้ เช่น บราซิล เอกวาดอร์ และโคลอมเบีย อาจเป็นจุดสนใจถัดไป เนื่องจากมีนักเตะที่มีคุณภาพและสามารถขอใบอนุญาตทำงานได้

สรุป
การย้ายทีมของ ทานากะ มายัง ลีดส์ ยูไนเต็ด และความนิยมของนักเตะญี่ปุ่นใน EFL เกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงกฎใบอนุญาตทำงาน ความคุ้มค่าในด้านการเงิน ความเหมาะสมของสไตล์การเล่น และการพัฒนาเทคโนโลยีการสอดแนมนักเตะ

การเติบโตของตลาดนักเตะญี่ปุ่นใน EFL จึงอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และหลังจากนี้ มีแนวโน้มสูงที่สโมสรในอังกฤษจะเริ่มค้นหานักเตะจากตลาดโลกที่ยังไม่ถูกใช้งานเต็มที่อย่างที่

โดยมี ญี่ปุ่น เป็นหัวหอกหลัก.