สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ว่า “เดอะ ไฟแนนเชียล ไทม์ส” รายงานโดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวภายในทีมงานเปลี่ยนผ่านอำนาจ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่าหนึ่งในอำนาจบริหารที่ทรัมป์จะลงนามให้มีผลทันที ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. ซึ่งจะเป็นวันแรกที่รับตำแหน่ง คือ การนำสหรัฐถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ)


ทั้งนี้ ทรัมป์ดำเนินการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของดับเบิลยูเอชโอ เมื่อปี 2563 โดยกล่าวว่า หน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) “อยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนมากเกินไป” และลดงบประมาณของสหรัฐในการสนับสนุนการดำเนินงานของดับเบิลยูเอชโอ


อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งสองสมัยติดต่อกัน เปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐคนปัจจุบัน ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับดับเบิลยูเอชโอ โดยไบเดนยกเลิกคำสั่งทั้งหมดของทรัมป์ในเรื่องนี้ เมื่อเข้ารับตำแหน่งวันแรก ในปี 2564


ปัจจุบัน สหรัฐเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของดับเบิลยูเอชโอ ด้วยสัดส่วนราว 16% ระหว่างปี 2565-2566 ตามข้อมูลของเดอะ ไฟแนนเชียล ไทม์ส


ขณะเดียวกัน ทรัมป์ประณามการที่ไบเดนลดโทษให้แก่นักโทษประหารของรัฐบาลกลาง 37 คน จากทั้งหมด 40 คน ว่า “ไม่สมเหตุสมผล” และยืนยันว่า จะสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการใช้โทษประหารชีวิตต่อไป เพื่อปกป้องชาวอเมริกันจากอาชญากร


อนึ่ง ผู้ต้องขัง 3 คน ซึ่งไม่ได้รับการลดหย่อนโทษประหารจากผู้นำสหรัฐ ล้วนเป็นผู้กระทำผิดคดีก่อการร้าย และคดีสังหารหมู่ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ได้แก่ นายโชการ์ ซาร์นาเยฟ มือระเบิดบอสตัน มาราธอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และได้รับบาดเจ็บ 281 คน เมื่อปี 2556


นายดีแลน รูฟ ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยมผิวขาวสุดโต่ง ก่อเหตุกราดยิงที่โบสถ์ ในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย เป็นชาวผิวสีทั้งหมด เมื่อปี 2558 และนายโรเบิร์ต โบเวอร์ส ซึ่งก่อเหตุกราดยิงที่สุเหร่ายิว ในเมืองพิตต์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย เมื่อปี 2561.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES