1. ความพยายามที่ล้มเหลวเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG มาครึ่งทางแล้ว เราทำสำเร็จน้อยมาก จากรายงานของสหประชาชาติ และนักวิชาการสายความยั่งยืน เผยผลสำรวจและติดตามประเมินผลความคืบหน้าของ SDG ปรากฏว่ามาครึ่งทางเราทำตามเป้าหมายสำเร็จเพียง 17% มีข้ออ้างว่า Covid-19 สร้างความวุ่นวายไป 3-4 ปี ตอนนี้เราต้องปรับแผนกันใหม่ เร่งเครื่องให้ทันตามที่เรากำหนดหมุดหมายไว้ คงจะเห็นมาตรการใหม่ ๆ ที่เข้มข้นขึ้นหลายเท่าในปีหน้า

2. Global Boiling โลกเดือดเร็วกว่าที่คิด และได้สำแดงอานุภาพของมันให้เห็นแล้ว นี่แค่บทเริ่มต้น ปีนี้นักวิชาการหลายท่านบอกว่าโลกเราร้อนเกิน 1.5 องศาไปแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงปี 2030 ปีนี้เราเจอร้อนจัด ฝนจัดหนัก ดินโคลนถล่ม นํ้าหลากเป็นสีแดง Rain Bomb จนนํ้าท่วมเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลกโดยมิทันตั้งตัว และนี่เรากำลังจะเจอหนาวจัด และแห้งแล้งจัดตามมา นี่ไม่นับรวมมหันตภัยเช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ไฟป่า ฝุ่นควัน ที่ ทำลายทุกสถิติที่เคยมีมา ตอนนี้เราต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นอันดับ 1

3. ยุโรปชิงความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน European Green Deal โดยเปลี่ยนแปลงกฎกติกาการค้าโลก จากการร่วมลงนาม Paris Agreement ในช่วงต้นของเป้าหมาย SDG มากลางทาง มีการออกมาตรการใหม่ ๆ จาก EU เพื่อกอบกู้โลกด้วย Net Zero ที่เราตื่นตระหนกปรับตัวกันยกใหญ่ในปีนี้คือเรื่อง CBAM มาตรการการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน มีระบบการเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนของสินค้า และมาตรการทางภาษี เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนต้องลดการปลดปล่อยคาร์บอนลงให้ได้ตามแผน และอีกหลายมาตรการกำลังตามมา

4. บทบาทใหม่ของนักการเงิน การเงินสีเขียว Green Finance กำลังมาแรง ธนาคารหันมาช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนด้วย Climate Finance การประชุมใหญ่ ๆ ทั่วโลก รวมถึง World Economic Forum และการประชุม COP29 สนับสนุนมาตรการการเงินใหม่ ๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนเรื่องสังคมคาร์บอนเป็นศูนย์เกิดขึ้นได้จริง สถาบันการเงินหันมาสนับสนุนการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรม ให้เงินกู้ดอกเบี้ยตํ่าแปรผันตามความสามารถในการลดคาร์บอนของกิจการ ใครลดคาร์บอนได้มาก จะได้ต้นทุนการเงินที่ตํ่ากว่าคู่แข่ง มีเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ ในตลาด ทั้งเงินให้เปล่า เงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยตํ่า และตอนนี้นักลงทุนหันมาอ่าน SD Report กันจริงจัง เขาสนใจลงทุนในบริษัทที่มีความยั่งยืนอย่างเห็นได้ชัด ช่วงนี้ คำว่า ESG จึงมาแรง เราจึงเห็นการเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ที่มีมาตรฐานใน SD Report มากขึ้น

5. นักฟอกเขียวสื่อสารได้แนบเนียนขึ้น เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินคือความยั่งยืน หรือ Greenwash ในโลกที่เป็นสีเทา เราแทบจะแยกแยะองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ออกจากองค์กรที่ทำแค่ PR สร้างภาพไม่ออก จึงมีองค์กร Watchdog มากขึ้น คอยตรวจสอบบริษัทต่าง ๆ ให้เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ตลอดห่วงโซ่กิจการ ปีนี้เราเห็นบริษัทที่มีภาพลักษณ์ดีคดโกงหลายคดี ทั้งปั่นหุ้น หลอกให้ลงทุนในโครงการต่าง ๆ หลอกให้ซื้อหุ้นกู้ที่ไม่มีคืน ปีนี้เราเห็นผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ขึ้นข่าวหน้าหนึ่ง และติดคุกกันหลายคน และจะมีตามมาอีก

6. AI ไม่นิ่งเฉย สัญญาจะช่วยมนุษย์ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG ที่ว่าเราทำสำเร็จเพียง 17% ของเป้าหมาย SDG ลำพังมนุษย์คงจะเร่งเครื่องไม่ทัน ปีนี้เหล่า AI ให้คำมั่นสัญญาในงานประชุมนานาชาติ AI for Good ว่าพวกเขาเหล่า AI จะช่วยมนุษย์ให้บรรลุเป้าหมาย SDG ให้ได้ พวกเขาอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลได้รวดเร็ว รายงานและชี้เป้าที่เป็นปัญหาต่าง ๆ ช่วยเหล่านวัตกร คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดเร็วขึ้น เพื่อให้เราใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด หาวิธีให้กลับมาใช้ใหม่ตามหลักการ Circular Economy

7. วัฒนธรรมการโกงสร้างชาติ เราเผชิญกับวิกฤติธรรมาภิบาล และการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เรื่องทุจริต คอร์รัปชัน
หลอกลวง คดโกง เอาเปรียบกันมากขึ้นในทุกวงการ ทั้งในโลกธุรกิจ ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร รัฐวิสาหกิจ แม่ค้าตามตลาด ครูอาจารย์ ทนายความ ไม่เว้นแม้วงการผ้าเหลือง เราเห็นวนเวียนกันออกรายการโหนกระแส แล้วต่อด้วยการออกรายการข่าวเด่นประเด็นร้อนประจำวันอีกหลายช่องทาง จนผู้คนที่คดโกงเหมือนจะเป็น Celeb ไปแล้ว แม้ว่าในวันต่อต้านคอร์รัปชันจะมีผู้นำองค์กรต่าง ๆ ออกมาโชว์สัญลักษณ์ชูมือไขว้กันให้คำปฏิญาณ แต่ก็เป็นแค่การ PR เมื่อใดเรายังไม่สามารถกำจัดผู้มีอิทธิพล และการให้สินบนผลประโยชน์ไปได้ เราก็จะเห็นดราม่าแบบนี้ในเรื่องใหม่ ๆ รายวัน และลำดับความโปร่งใสของประเทศจะลดลงเรื่อย ๆ ปีนี้เราลดลงมา 7 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 108 ของโลก โดยถูกระบุว่า เรามีวัฒนธรรมการติดสินบนที่เพิ่มขึ้นมาก

8. เราตื่นเต้นกับโฉมหน้าเมืองใหม่ทั่วโลก มีทั้งสร้างใหม่ และพลิกโฉมเมืองเก่า ให้เป็นมหานครที่ยั่งยืน Sustainable City ผู้คนต่างกังวลต่อความเป็นอยู่ในอนาคต ที่อยู่อาศัย วิถีชีวิต และความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ เราจึงเห็นข่าวเรื่องการออกแบบเมืองใหม่ที่เน้นความยั่งยืนบ่อย ๆ มีเรื่องเมือง 15 นาที ที่ระบบบริการต่าง ๆ จะถูกกระจายให้ใกล้ที่อยู่อาศัย จะได้ไม่เสียเวลา และไม่ปลดปล่อยคาร์บอนจากการเดินทาง เราจึงเห็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับการเดินสำหรับทุกคน รวมถึงคนชรา และคนพิการที่ต้องใช้รถเข็น ที่เราเรียกการออกแบบนี้ว่า Universal Design เมื่อเราลดเลนของรถ และเพิ่มทางเดิน ทางจักรยาน เพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มพืชพรรณ ก็จะเพิ่มความร่มรื่น และควาหลากหลายทางชีวภาพของเมือง ทำให้มี Public Space เพิ่มความสุขให้คนเมือง บางแห่งออกแบบให้เป็นพื้นที่ชุ่มนํ้า Wetland เป็นบ่อบึง เพื่อเก็บกักนํ้า กันนํ้าท่วมในฤดูฝน และเป็นพื้นที่สันทนาการได้ เราจึงเริ่มเห็นเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลกกำลังแปลงโฉม หรือบางเมืองถูกออกแบบให้รับมือกับภาวะโลกเดือดที่เราเรียกว่าเมืองสะเทินนํ้าสะเทินบก Resilience City

9. สงครามกำลังมา Geopolitical ภูมิรัฐศาสตร์กำลังสั่นคลอนความยั่งยืนโลก ปีนี้เราเห็นความแตกแยก ความขัดแย้งรุนแรง
ในหลายภูมิภาคทั่วโลก เราเห็นสงครามที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังขยายวง และยังมีแนวพื้นที่สงครามใหม่ ๆ ที่กำลังก่อตัว สงครามนอกจากจะทำลายล้าง ผู้คน และทรัพย์สินในหลาย ๆ ประเทศแล้ว ยังทำลายเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเกือบทุกข้อ ตั้งแต่สร้างความ
อดอยากยากจนใหม่ ทำลายสุขภาวะ ทำลายสังคม เพิ่มความเหลื่อมลํ้า ที่สำคัญทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นตัวเร่งให้โลกเดือดมากขึ้น หลายคนคงอยากให้สงครามลดประชากรโลกลงครึ่งหนึ่ง เพื่อให้โลกกลับมาสมดุลเช่นเดิม แต่ก็เป็นวิธีที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม

10. ความสุขที่หายไป ผู้คนหันมาสนใจความยั่งยืน ที่เกี่ยวกับสุขภาวะมากขึ้นและเพิ่มตัวชี้วัดด้านความสุขของมวลมนุษยชาติ เนื่องจากปัญหาโลกเดือด มิได้ทำลายแค่ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม มิเพียงมีผลต่อเศรษฐกิจที่ปั่นป่วน มีความเสี่ยงสูง แต่ที่สำคัญทำลายสุขภาวะของคนทั่วโลก อาทิ ฝุ่นควัน และคุณภาพอากาศที่เลวร้ายลงจนหายใจแทบไม่ออก คุณภาพนํ้าดื่มตามธรรมชาติที่ปนเปื้อนสารเคมีต่าง ๆ อาหารที่ปนเปื้อนมลพิษ และไมโครพลาสติก สิ่งที่เรากิน ดื่ม และหายใจเข้าไปล้วนไม่ปลอดภัย สังคมรอบตัวที่มีปัญหาสร้างความแตกแยก กดดัน และเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ก็ทำให้เราต้องทำงานหนักขึ้น จนเป็นโรคเครียด มีอัตราการฆ่าตัวตายมากขึ้น ในโรงพยาบาลต่าง ๆ เต็มไปด้วยคนไข้ที่ป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นปีที่ผ่านมาเราจะเห็นข่าวและบทความนวัตกรรมที่เกี่ยวกับสุขภาวะ มี Start Up ใหม่ ๆ ที่ทำเรื่องนี้มากขึ้น และที่สำคัญการวัดผลในอนาคตจะมิได้ดูที่ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ เช่น GDP อย่างเดียว แต่ผู้คนต่างหวนกลับมาให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดความสุข เช่น GNH ความยั่งยืนมิได้วัดผลกันแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่หันมาให้ความสำคัญกับ “ประโยชน์สุข” ของส่วนรวม และนี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจของ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

เรารู้ 10 ประเด็นสุด Hot ที่สังคมชาวยั่งยืนพูดถึงกันมากที่สุดในปีนี้แล้ว เตรียมตัวกันให้ดีนะครับ ปีหน้าจะมีวิกฤติเรื่องใหม่ ๆ มาท้าทายอีกมาก ขอให้ทุกท่านมี “ประโยชน์สุข” และ “ยั่งยืน” ในวาระปีใหม่นี้นะครับ.