นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่ายินดี หลังล่าสุดวันนี้ เอส กัตพงศ์ พิธีกรและนักแสดงชื่อดัง ได้อุปสมบททดแทนบุญคุณบิดามารดาและเพื่อเป็นกุศลใหญ่ตามความตั้งใจตั้งแต่เด็ก ณ พัทธสีมา วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางเพื่อนพ้องในและนอกวงการบันเทิง และแฟนๆ ที่มาร่วมอนุโมทนาบุญอย่างอบอุ่น โดยได้รับฉายา สิริวํโส (สิริวังโส) มีความหมายว่า ‘ผู้อยู่ในวงศ์ตระกูลของผู้เจริญ’
สำหรับบรรยากาศในพิธีอุปสมบทเอสนั้น ไปเป็นอย่างเรียบง่าย เริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. ขอขมามารดาและพ่อแม่บุญธรรมและพิธีปลงผมนาค ตามด้วยเวลา 09.20 น. มีการตั้งขบวนนาคแห่นาค 09.30 น. ทำพิธีอุปสมบทอย่างเป็นทางการ 10.30 น. ถวายเพลพระ (ฉลองพระใหม่)
ท่ามกลางความยินดีของครอบครัวและมีเพื่อนในวงการบันเทิง นำโดย ดวงดาว จารุจินดา, ตั๊ก มยุรา, หน่อง อรุโณชา, ก้อง ปิยะ, มิค-เบนซ์ พรชิตา, พุฒ พุฒิชัย, เบนซ์ ปุณญาพร, อั้ม อธิชาติ, แม็กกี้ อาภา, ซินแสเป็นหนึ่ง รวมถึงแฟนคลับที่มาร่วมปลงผมด้วย
จากนั้นก็ได้มีการตั้งขบวนแห่นาค โดยเริ่มเดินเวียนรอบพระอุโบสถจำนวน 1 รอบ เนื่องจากมีผู้มาร่วมบุญในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีคุณพ่อของถือบาตร คุณแม่ถือผ้าไตรจีวร เบนซ์ ปุณญาพร และแม็กกี้ อาภา ตลอดจนแฟนคลับนับร้อยคน ที่มาร่วมแห่นาคและส่งนาคเอสเข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีอุปสมบท
โดยก่อนเข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีอุปสมบท นาคเอสได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ไปร่วมงานว่า
“ความตั้งใจที่จะบวชในครั้งนี้ คืออยากบวชตั้งแต่เด็กตามที่เคยได้ให้สัมภาษณ์ไป จริงๆ ผมตั้งใจจะบินไปอินเดียเพื่อไปบวช แต่ต้องเข้าโรงพยาบาลก่อน ก็เลยรู้สึกว่าเราก็เคยเป็นผู้ที่ปวารณาตนว่าจะเป็นโยมผู้อุปถัมภ์วัดธรรมมงคล หลวงพ่อวิริ ยังก็เป็นหลวงพ่อที่สอนและช่วยเราเยอะ แล้วเราก็เคยช่วยงานในด้านธรรมะที่นี่เยอะ เรารู้สึกว่าวัดนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด เบื้องต้นบวช 15 วัน เพื่อให้คุณแม่สบายใจ แต่ในใจอยากจะบวชนานกว่านี้ อยากให้คุณแม่สบายใจก่อน ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขาขอแค่ 15 วัน ผู้ที่มีบุญที่สุดคือมารดา มารดาสั่งอย่างไรก็อยากทำให้มารดาพอใจก่อน เพราะถ้าบวชเกิน 15 วันไปแล้ว คุณแม่ทุกข์ คนบวชก็จะทุกข์ไปด้วย อย่างน้อยข้างต้นข้อ 15 วันไปก่อน เพื่อให้คุณแม่สบายใจ ฉายาทางธรรม สิริวํโส (สิริวังโส) มีความหมายว่า ผู้อยู่ในวงศ์ตระกูลของผู้เจริญ“

“ช่วงปีใหม่ ก็จะจำวัดอยู่ที่นี่ ปฏิบัติธรรมที่นี่ ความตั้งใจของผมที่จะไปบวชที่อินเดีย คือผมเคยไปอินเดียตั้งแต่เด็ก เคยไปที่ 4 สังเวชนียสถาน ก็เลยรู้สึกว่าครั้งแรกที่เราจากจะบวชในชีวิต อยากจะไปที่ 4 สังเวชนียสถานอีก นั่นคือความตั้งใจที่อยากจะไป แต่ถ้าถามว่าจริงๆ อยากบวชเพื่ออะไร ผมอยากบวชเพื่อศึกษาพระธรรม ซึ่งต่อให้อยาก แต่ในการทำงานก็ไม่มีเวลาลึกซึ้งได้เท่ากับตอนที่เป็นพระภิกษุ สำหรับผมคิดว่าจะบวชที่ไทยหรือที่ไหนก็ได้ แต่ขอให้ผมได้มีเวลาศึกษาพระธรรม”

พระเอส เผยต่อว่า “ที่ผมอยากบวชตั้งแต่เด็ก มันเกิดจากตอนที่ผม 10 ขวบ ผมเป็นไมเกรน และตอนอายุ 15 เป็นไฮเปอร์ แต่คุณหมอไม่สามารถรักษาได้เพราะเป็นโรคขั้นกว่า แต่มาหายด้วยธรรมะ มาปฏิบัติธรรมก็หาย มันเป็นโรคความเครียด ที่ผมเคยสัมภาษณ์ ที่คนไทยเรียกว่าโรคมือจีบ เครียดทีหนึ่งก็มือจีบทำอะไรไม่ได้ คือจัดการอารมณ์ตัวเองไม่เป็น เลยมาศึกษาพระธรรม ตอนอายุ 15 เริ่มศึกษาพระธรรม อายุ 16 หรือ 18 ผมจำไม่ได้ มันก็หายไปเลย ตั้งแต่นั้นมาก็เลยพยามศึกษาธรรมะ แล้วคุณพ่อคุณแม่ญาติๆ ทุกคนก็ทักว่าทำไมบุคลิกเปลี่ยนไป จากเด็กโรงเรียนชายล้วน จะมีความเฮี้ยวๆ หน่อย พอตั้งแต่ปฏิบัติธรรมบุคลิกเปลี่ยนหมด ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราไปในทางที่มันดีขึ้น เป็นคนที่ดีขึ้นได้จากพระธรรม ตอนนั้นก็เลยขอคุณแม่บวชเลย แต่คุณแม่บอกว่าให้เรียนจบก่อน พอเรียนจบ คุณแม่ก็บอกว่าค่อยทำงานก่อน จนมาถึงตอนนี้ก็เลยได้บวช”
“หลังจากที่อาการดีขึ้น ธรรมะช่วยเยียวยาจิตใจ อันนี้สำคัญมาก ก่อนที่ผมจะเข้าโรงพยาบาลรอบล่าสุด หลังจากที่เข้าไปโรงพยาบาล ได้เข้าไปกราบสวัสดีพยาบาลและคุณหมอ ทุกคนถามผมว่าผมปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ผมก็งงว่าทำไมถึงถามคำถามนี้ แต่เพิ่งทราบสาเหตุว่าที่ถามเพราะคุณหมอตรวจค่าสมองแล้ว เขาเปิดให้ดูว่าค่าสมองของผมทำงานดีเกินค่าเฉลี่ยมาตรฐาน เขาก็ถามใช้ชีวิตยังไงทำไมค่าสมองถึงขึ้นขนาดนี้ ผมก็เลยอ๋อผมนั่งสมาธิทุกช่วงเวลาที่ผมว่าง ไม่มีเวลาจำกัด ในช่วงเวลาทำงานสมมุติว่าผมจะเข้ากอง ถ้าผมมีเวลาว่างนั่งรออยู่ก็จะทำสมาชิก นั่งทานข้าวนั่งรอเพื่อน ผมก็จะทำสมาธิ ซึ่งอันนี้ผมชอบพูดตลอดว่าพระพุทธองค์คือนักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบวิทยาศาสตร์ก่อนนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งตอนนี้ถ้าไปเสิร์ชดู นักวิทยาศาสตร์ก็ออกมายอมรับแล้วจริงๆ ว่าการทำสมาธิสามารถพัฒนาสมองได้ แล้วก็เปลี่ยนบุคลิกให้เป็นคนที่ดีขึ้นได้จริงๆ“

พระเอส เล่าต่อว่า “งานในวงการ ผู้ใหญ่ท่านก็รอคิวอยู่เหมือนกัน ผมไม่กล้าตอบ ผมบอกว่าผมขอเวลาแป๊บหนึ่ง กลัวว่าสัญญาไปแล้วยังไม่ทันได้สึก แต่ตามขั้นต้นที่บอก บวชเพื่อให้คุณแม่สบายใจก่อน คุณแม่ขอให้แค่ 15 วัน วันนี้ก็รู้สึกปลาบปลื้มปิติ ท่านกรมวังที่อยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ท่านก็มาด้วย มีหลายๆ งานที่ผมไปช่วยทำจิตอาสากับท่าน แต่ผมไม่เคยได้บอกสื่อ รู้สึกว่าอยากจะปิดทองหลังพระ เพราะว่าผมเป็นคนชอบทำดีกับคนอื่น แต่ไม่อยากไปติดความดีเพื่อเป็นการโปรโมตตัวเอง เพราะคนในวงการบันเทิงยิ่งโปรโมตคนที่ยกย่อง ผมไม่ได้ต้องการให้คนยกย่อง ผมแค่ต้องการให้คุณเห็นว่าที่ทำความดีแล้ว ก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงมากันเยอะมาก เพราะท่านเคยเห็นว่าผมทำดีโดยไม่ต้องการอะไร ตอนที่ปลงผม คุณพ่อคุณแม่อวยพรเยอะเลย ขอให้สิ่งที่ผมตั้งความหวังไว้สำเร็จ สิ่งที่ผมหวังที่สุดในชีวิตเลยก็คือศึกษาพระธรรม ก็อยากจะบอกแฟนๆ ทุกคนที่มาร่วมอนุโมทนาบุญ บุญที่ใหญ่ที่สุดคือการให้ทำการปฏิบัติธรรม อันนั้นยิ่งใหญ่กว่าการให้ทำการให้ทาน ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมะ เป็นพระภิกษุสงฆ์และปฏิบัติธรรม ก็อนุโมทนาบุญให้กับทุกท่าน ขอโทษทุกท่านที่ผมเคยล่วงเกินท่านไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยกายก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยวาจาก็ดี รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วยเช่นกันนะครับ ขอให้ท่านมีส่วนในบุญของผมด้วยเช่นกัน”








