ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศเกษตรกรรม แต่การนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับการทำเกษตรยังไม่แพร่หลาย ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่เพาะปลูกได้ผลผลิตน้อย ทำให้มีรายได้ไม่สูง!!

จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันผลักดันการใช้เทคโนโลยีการให้ให้แพร่หลายกับเกษตรกรมากยิ่งขึ้น ล่าสุด  3 มหาวิทยาลัยชั้นนำไทย คือ  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย    สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ  สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ร่วมกับ  บริษัท โนบิทเทอร์ จำกัด  เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเกษตรแนวตั้ง (Vertical Farming) ซึ่งจะยกระดับการเกษตรไทยไปสู่เวทีโลก

รองศาสตราจารย์ ดร.สมยศ เกียรติวนิชวิไล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  บอกว่า  ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่การเกษตรแบบแม่นยำ (Precision agriculture) โดยใช้เทคโนโลยีและการจัดการข้อมูลเพื่อการวางแผนและบริหารจัดการ ฟาร์มของเกษตรกร เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น IoT, AI และ Big Data มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยระบบเซนเซอร์และระบบวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้เกษตรกรตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ระบบ Controlled-Environment Agriculture (CEA) และ Vertical Farm เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเกษตรของไทย โดยช่วยลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและศัตรูพืช รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้น้ำลงถึง 90% เมื่อเทียบกับการเกษตรทั่วไป นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงและสร้างโอกาสใหม่ในตลาดด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับการเกษตรไทยในอนาคต  โดยเทคโนโลยี IoT, AI และ Big Data ที่ถูกนำมาใช้ในแพลตฟอร์มการเกษตรแบบแม่นยำ จะช่วยให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ได้สูงสุด”

ทั้งนี้โครงการนี้ยังได้มุ่งยกระดับองค์ความรู้ให้กับ นิสิตและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วย โดน ทาง “ศาสตราจารย์ ดร.ประณัฐ โพธิยะราช”  คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  บอกว่า โครงการนี้ จะ ช่วยให้นิสิตได้เรียนรู้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับระบบการผลิตพืชในโรงเรือนและการใช้ฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์ในการควบคุมสิ่งแวดล้อม ผลงานที่ได้จะช่วยยกระดับคุณภาพอาหารและสุขภาพของผู้บริโภคนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

“โครงการนี้มุ่งเตรียมความพร้อมให้นิสิตได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง ช่วยขยายมุมมองการเรียนรู้ในห้องเรียนให้กว้างขวางขึ้น แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนิสิตในการพัฒนาองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ต่อยอดในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการพัฒนานโยบายและแนวทางด้านพฤกษศาสตร์ระดับชาติในอนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”

อีกหนึ่งผู้บริหารสถานศึกษา คือ  “มนตรี คงตระกูลเทียน” คณบดีคณะเกษตรนวัตและการจัดการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์  บอกว่า ความร่วมมือครั้งนี้เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Plant Factory และเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ที่พัฒนาโดยคนไทย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาในการพัฒนานวัตกรรมเกษตรในอนาคต ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพทางการตลาดส่งออกของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ด้วย ซึ่งตัวเลขตลาดของผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยในปี 66 มีมูลค่าสูงถึง 56 พันล้านบาท สำหรับมูลค่าการส่งออกปี 66 พืชสมุนไพร มีมูลค่า 483 ล้านบาท และสารสกัดสมุนไพร มีมูลค่า 382 ล้านบาท

 นอกจากนี้ ระบบ Plant Factory ยังช่วยในมิติของสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพสูงช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะโลกรวน  ด้านสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมี และเพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย พร้อมสร้างศักยภาพให้เกษตรกรแข่งขันในตลาดโลกได้

ขณะที่ด้านภาคเอกชน “วิลาส ฉ่ำเลิศวัฒน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนบิทเทอร์ จำกัดผู้บุกเบิกนวัตกรรมการเกษตรแนวตั้งเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย บอกว่า ความร่วมมือกับ 3 สถาบันการศึกษา  เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเกษตรแนวตั้ง (Vertical Farming) ซึ่ง ระบบฟาร์มแนวตั้งนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้น้ำและทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการผลิตอาหารปลอดภัยและคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและทั่วโลก

“โครงการนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ (Smart Farmer)สำหรับนิสิตและนักศึกษา เพื่อพัฒนานวัตกรเกษตรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) และนักวิจัยที่เชี่ยวชาญ พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน โดยการใช้วัสดุและทรัพยากรท้องถิ่นในระบบฟาร์มแนวตั้ง  เป็นก้าวสำคัญในการปฏิวัติวงการเกษตรไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกอย่างมั่นคง ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านการเกษตรสมัยใหม่ พร้อมสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมเกษตรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรในประเทศยังช่วยลดการนำเข้าอาหารและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว พร้อมยกระดับความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศด้วย”

ถือเป็นโครงการที่เน้นย้ำการยกระดับพัฒนาให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่ “ศูนย์กลางอาหารของโลก”  โดยนำเทคโนโลยีบุคใหม่อย่าง  IoT  และ  AI  รวมถึง Big Data มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับภาคเกษตรกรรมและช่วยผลักดันประเทศและเกษตรกรไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้!?!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์