เมื่อวันที่ 9 ม.ค. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอีเร่งเสนอขอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเสนอในการประชุม ครม. วันที่ 13 ม.ค. นี้ หลังจากที่ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติม โดยสาระสำคัญการแก้ไขกฎหมาย คือการให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) ร่วมรับผิดชอบคืนเงินให้ผู้เสียหาย ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบ ครม. แล้ว ภายใน 3 วัน ต้องนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจะมีผลบังคับใช้ทันที

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะออกมาตรการเสริม คือ การควบคุมการขายซิมการ์ดของนิติบุคคล ซึ่งมีการซื้อขายจำนวนมาก แต่ไม่มีการกำหนดให้มีการลงทะเบียน เพื่อป้องกันการใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย โดยจะมีการหารือออกมาตรการกับทาง กสทช. นอกจากนี้ยังจะเชื่อมโยงข้อมูลธนาคารจ่างๆ กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อหยุดวงจรการฟอกเงิน โดยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กสทช., โอเปอเรเตอร์ และธนาคาร จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น การตรวจสอบบัญชีม้า, การคัดกรองการโอนเงิน และการควบคุมระบบการเงินดิจิทัลที่มิจฉาชีพเปลี่ยนการโอนเงิน เป็นสกุลเงินดิจิทัล เช่น คริปโตเคอร์เรนซี เป็นต้น นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้ใช้มาตรการการกำหนดให้ผู้ส่ง SMS แนบลิงก์ ต้องลงทะเบียนชื่อและตรวจสอบเนื้อหากับโอปอเรเตอร์ ก่อนที่จะมีการส่งด้วย

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า กระทรวงดีอี ได้เร่งรัดการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ เพื่อเป็นการตัดวงจรช่องทางการก่ออาชญากรรมที่สำคัญของขบวนการมิจฉาชีพ ซึ่งไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 68 ตั้งแต่เดือน ตุลาคม-ธันวาคม 67 รวมระยะเวลา 3 เดือน ได้ดำเนินการปิดกั้นไปแล้ว 52,691 รายการ หรือเฉลี่ย 17,564 รายการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.69 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 67 ที่ปิดกั้น 31,154 รายการ หรือ เฉลี่ย 10,385 รายการต่อเดือน

ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงดีอี กล่าวว่า กฎหมายฉบับแก้ไขที่นำเข้าที่ประชุม ครม. ยังรวมถึงการกำหนดแนวทางสำหรับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก และติ๊กต็อก ให้มีส่วนร่วมในการคัดกรองเนื้อหาและโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง หากไม่ปฏิบัติตามหรือปล่อยละเลย ถือว่าความผิดตามกฎหมายด้วย.