สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ว่า ไบเดนกล่าวว่า การยกเลิกระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบุคคลที่สามในสหรัฐ และมอบหน้าที่ในการเปิดโปงความเท็จ ให้กับผู้ใช้ทั่วไปของเมตานั้น “น่าละอายจริง ๆ”
การตัดสินใจดังกล่าวถูกอ้างว่าเป็นความพยายาม “เอาใจ” นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งฐานเสียงฝ่ายอนุรักษนิยมของเขามักตำหนิแพลตฟอร์มเหล่านี้ว่า “การตรวจสอบข้อเท็จจริงคือหนทางจำกัดเสรีภาพในการพูด และเซ็นเซอร์เนื้อหาของฝ่ายขวา”
Biden on Meta ending fact-checking: "Telling the truth matters … it's just completely contrary to everything America's about. We want to tell the truth. We haven't always done it as a nation, but we want to tell the truth … I think it's really shameful." pic.twitter.com/56VYA0ngWv
— Aaron Rupar (@atrupar) January 10, 2025
ไบเดนกล่าวว่า “การบอกความจริงเป็นเรื่องสำคัญ” และเสริมว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าว “ขัดต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อเมริกาเป็น”
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟคประเทศไทย หรือ Collaborative Fact Checking (COFACT) ซึ่งเป็นภาคีเพื่อการตรวจสอบข่าวลวง กล่าวกับเอเอฟพีว่า “เข้าใจได้ว่านโยบายของเมตามุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ในสหรัฐ แต่เราไม่สามารถแน่ใจได้เลย ว่าจะส่งผลต่อประเทศอื่น ๆ อย่างไร” ขณะที่การปล่อยให้มีการใช้ถ้อยคำซึ่งแสดงความเกลียดชัง และการสนทนาที่เหยียดเชื้อชาติอย่างแพร่หลาย อาจเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงได้
อนึ่ง ความหวาดกลัวต่อประทุษวาจา (hate speech) เพิ่มขึ้น หลังเมตายกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับหัวข้อต่าง ๆ เช่น เพศและอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งในเวอร์ชั่นล่าสุด แพลตฟอร์มต่าง ๆ ของบริษัท ได้อนุญาตให้ผู้ใช้กล่าวหาบุคคลอื่น ว่า “ป่วยท่างจิต หรือผิดปกติ” จากเพศหรือรสนิยมทางเพศ.
เครดิตภาพ : AFP