สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ว่า ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค พยายามเพิ่มอิทธิพลของตนเองในซีเรีย หลังฝ่ายกบฏสามารถโค่นอำนาจประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนาน เมื่อเดือนที่แล้ว
“เราเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยกเลิกการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว และการคว่ำบาตรระหว่างประเทศต่อซีเรีย เนื่องจากการคว่ำบาตรอย่างต่อเนื่อง ขัดขวางความทะเยอทะยานของชาวซีเรีย ในการบรรลุการพัฒนาและการฟื้นฟูบูรณะ” เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮาน อัล ซาอุด รมว.การต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ทรงมีพระดำรัสหลังการเจรจาในกรุงริยาด
นายอาเหม็ด อัล-ชารา ผู้นำซีเรียคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มกบฏหลักในพันธมิตรที่โค่นล้มอัสซาด กำลังผลักดันให้มีการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตร โดยรัฐบาลของเขา ส่งนายอาซาด อัล-ไชบานี รมว.การต่างประเทศซีเรีย เป็นตัวแทนเข้าร่วมการเจรจาที่กรุงริยาด
อนึ่ง มหาอำนาจชาติตะวันตก รวมถึงสหรัฐ และสหภาพยุโรป (อียู) ดำเนินการคว่ำบาตรอย่างหนักต่อรัฐบาลอัสซาด เนื่องจากการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อการประท้วงต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เมื่อปี 2554 ซึ่งทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในเวลาต่อมา
เมื่อวันจันทร์สัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า จะผ่อนปรนการบังคับใช้ข้อจำกัดซึ่งส่งผลกระทบต่อบริการที่จำเป็น เช่น พลังงาน และสุขอนามัย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลวอชิงตันกล่าวเสริมว่า พวกเขาจะรอจนกว่าจะเห็นความคืบหน้า ก่อนตัดสินใจผ่อนคลายการคว่ำบาตรในวงกว้าง
ขณะที่ นางคาจา คัลลัส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า อียูอาจเริ่มยกเลิกการคว่ำบาตร หากฝ่ายปกครองชุดใหม่ของซีเรีย ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลที่ครอบคลุม ซึ่งปกป้องชนกลุ่มน้อยในประเทศ.
เครดิตภาพ : AFP