เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 15 ม.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 กล่าวถึงความคืบหน้าคดีสังหารนายลิม กิมยา ว่า เมื่อวานนี้ (14 ม.ค.) ทางชุดทำงานได้รับความเมตตาจากศาลอาญา ได้อนุมัติหมายจับ นายลี รัตนรัศมี (Ratanakraksmey Ly) หรือชื่อในประเทศไทย คือ นายสมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา สำหรับพฤติการณ์ที่พอจะเปิดเผยได้ คือ นายลี หรือนายสมหวัง เป็นผู้จ้างวาน ซึ่งปรากฏหลักฐานว่านายสมหวัง เป็นคนทำธุรกรรมทางการเงินด้วยตนเอง และข้อความแชตที่สั่งการ รวมทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และคำรับสารภาพของนายเอ็ม

ผู้สื่อข่าวถามว่านายลี สั่งการด้วยเรื่องอะไร ผบก.น.1 กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจยังไม่ได้ตัวนายลี เข้าสู่กระบวนการ จึงยังไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่จากข้อมูลที่ทางตำรวจประมวลได้ ทั้งจากการตรวจสอบโทรศัพท์และจากการสอบสวนจ่าเอ็มเพิ่มเติม ซึ่งให้การเพิ่มเติมว่า นายลี มีความโกรธแค้นส่วนตัวกับผู้ตาย เลยให้จ่าเอ็มจัดการให้ ซึ่งในช่วงแรก จ่าเอ็มไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการสอบปากคำ ทางตำรวจจึงต้องตรวจสอบข้อมูลทางโทรศัพท์ แล้วย้อนกลับมาสอบปากคำจ่าเอ็มเพิ่ม จ่าเอ็มจึงยอมให้ปากคำเพิ่มเติม แต่ทางตำรวจขอเปิดเผยข้อมูลกับสื่อแค่บางส่วน เนื่องจากเกรงว่าจะเสียรูปคดี

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า นายลี และผู้ตายขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร ผบก.น.1 กล่าวว่า จากการสอบสวนจ่าเอ็ม ผู้ต้องหาไม่ทราบว่าทั้งคู่ขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร และไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร รู้แต่เพียงรูปพรรณจากคนชี้เป้า ว่าผู้ตายใส่เสื้อผ้าอย่างไร นั่งอยู่ตรงไหนของรถ แค่นั้น และเมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุจึงลงมือ

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า มีการกำหนดหรือไม่ว่าต้องลงมือในไทย เนื่องจากทั้งคู่เป็นคนในประเทศเพื่อนบ้าน ผบก.น.1 กล่าวว่า ยังไม่มีข้อมูล แต่การที่มีการออกหมายจับนั้น เพราะตำรวจเชื่อว่า นายลีเป็นผู้จ้างวาน และผู้สั่งการ ซึ่งหากได้ตัวนายลีมาแล้ว ก็จะนำตัวเข้าสู่กระบวนการต่อไป

อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบ นายลี หรือนายสมหวัง เข้ามาในไทย เมื่อวันที่ 6 ม.ค. เวลาประมาณ 22.00 น. โดยมาอยู่ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และสั่งการจากที่ชลบุรี และเหตุเกิดวันที่7 ม.ค. และนายลี ออกไปวันที่ 8 ม.ค. ช่วงเช้า ไปประเทศเพื่อนบ้าน ในช่องทางปกติ โดยจากการตรวจสอบพบว่า ก่อนหน้านี้นายลีเดินทางมาไทยกว่า 100 ครั้ง แต่ยังไม่ทราบว่าเข้ามาทำอะไร ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างขอหมายแดง นายลี ซึ่งประสานกับทางกองการต่างประเทศแล้ว ทั้งนี้ทางผู้บังคับบัญชา ได้กำชับว่าถ้าหากพยานหลักฐานไปถึงใคร ก็ให้ดำเนินการทั้งหมด ซึ่งพี่น้องประชาชนขออย่ากังวล ทางตำรวจมีการดำเนินคดีทุกคนอยู่แล้ว

ส่วนผู้ร่วมขบวนการจะมีมากกว่า 4 คนหรือไม่ และในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำผู้ที่ให้การช่วยเหลือจัดหาปืน หรือยืมรถในการหลบหนี และเรียกมาสอบปากคำและกันไว้เป็นพยานแล้ว และจะขยายผลต่อไป

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เป็นชาวกัมพูชา อาจไม่ได้รับความร่วมมือในการส่งตัว เพราะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และอาจมีความเป็นไปได้ว่า จะถูกตัดตอนด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศนั้น พล.ต.ต.อัฎธพร กล่าวว่า ได้ประสานงานทางการกัมพูชา และติดตามตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย มาดำเนินคดี

ทั้งนี้มีรายงานว่า พยานหลักฐาน เส้นทางการเงิน ที่นายสมหวังโอนให้กับจ่าเอ็ม ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยครั้งแรก โอนในช่วงบ่ายของวันที่ 7 ม.ค. จำนวน 30,000 บาท หลังจากก่อเหตุแล้วในเวลา 17.45 น. ก็มีการโอนเงินให้จ่าเอ็มอีกครั้ง ในเวลา 17.50 น. จำนวน 30,000 บาท เพื่อเป็นค่าหลบหนี