เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา บริเวณริมฟุตปาธหน้าแดนเนรมิต นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานเครือข่ายมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พานายกิตติณัฐ (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี พนักงานบริษัทสำรวจน้ำมัน นำหลักฐานเข้าแจ้งความ หลังถูกมิจฉาชีพที่อาศัยอยู่ จ.กระบี่ สวมรอยทำเอกสารบัตรประชาชนปลอม ไปขอออกซิมมือถือใหม่ และโทรฯ ไปขอเปิดใช้บัตรเครดิตสูญเงินไปเกือบ 70,000 บาท
โดย นายกิตติณัฐ เปิดเผยว่า เริ่มแรกเมื่อวันที่ 12 ม.ค. ตนพบว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือถูกตัด จึงมีการติดต่อไปยังเครือข่ายมือถือ ซึ่งทางเครือข่ายก็แจ้งว่าไม่ได้มีการตัดสัญญาณ ให้ตรวจสอบอีกครั้ง กระทั่งตนพบว่ามีการใช้จ่ายบัตรเครดิตของตนผ่านทางออนไลน์ 3 ครั้ง ในวันเดียวกัน โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที รวมเป็นจำนวนเงินเกือบ 70,000 บาท ซึ่งบัตรเครดิตตัวนี้ เป็นบัตรเสริมที่ไว้ใช้จ่ายออนไลน์เท่านั้น ไม่ได้มีการออกเป็นบัตรจริง โดยมิจฉาชีพใช้จ่ายบัตรดังกล่าวเต็มวงเงิน จึงมีการพยายามเข้าแอปพลิเคชันบัตรเครดิตอีกหนึ่งใบ

ต่อมา ตนทำการติดต่อไปยังเครือข่ายมือถือ จนทราบว่าหมายเลขโทรศัพท์ของตนมีการแจ้งขอเปลี่ยนซิมเบอร์เดิมที่สาขาใน จ.กระบี่ ตนจึงได้มีการติดต่อไปยังสาขาดังกล่าว และทราบว่ามีหญิงและชายสองคน เดินทางมาแจ้งกับพนักงานสาขาว่าซิมหาย จึงขอเปลี่ยนซิมเบอร์เดิม โดยใช้หลักฐานเป็นภาพถ่ายบัตรประชาชนที่ปลอมแปลง โดยใส่ข้อมูลชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน รวมไปถึงวันเกิด ที่เป็นข้อมูลจริง ส่วนรูปภาพเป็นภาพของมิจฉาชีพ และรายละเอียดอื่นๆ นั้น ไม่ตรงกับของตน โดยพนักงานอ้างว่า ที่อนุมัติให้ซิมใหม่ไปนั้น เนื่องจากพบว่ารูปบัตรประชาชนตรงกับตัวคนที่มาขอเปลี่ยนซิม ทางมิจฉาชีพจึงนำเบอร์ของตนไปเข้าระบบการใช้จ่ายออนไลน์ที่มีการผูกบัตรเครดิตออนไลน์ของตนไว้ โดยใช้เพียงแค่รหัสโอทีพี ที่จะถูกส่งยืนยันไปในเบอร์ของตนที่มิจฉาชีพนำไปใช้เท่านั้น ก็สามารถใช้จ่ายได้ ตนจึงทำการอายัดซิมและโทรฯ อายัดบัตรเครดิตทั้งหมด
ส่วนข้อมูลของตนนั้น ก็ไม่ทราบว่ารั่วไหลได้อย่างไร เพราะตนไม่เคยทำบัตรประชาชนหรือบัตรเครดิตหาย จากนั้นพนักงานสาขาก็ได้มีการมอบภาพกล้องวงจรปิดของหญิงชายดังกล่าวให้กับตน และแจ้งให้ตนไปติดต่อประสานกับสำนักงานใหญ่ของเครือข่ายมือถือ ซึ่งตนก็ได้รับการประสานจากผู้บริหารของค่ายมือถือดังกล่าวแล้ว

ก่อนหน้านี้ตนยังได้เข้าแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนก็กล่าวอ้างว่า อำนาจการสืบสวนสอบสวนอยู่ที่ จ.กระบี่ และไม่ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ ตนจึงมีการติดต่อไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และได้รับคำแนะนำว่าสามารถแจ้งความได้ทุกพื้นที่ ทางสน.ทุ่งสองห้อง จึงแจ้งว่า รับคดีได้ แต่ไม่สะดวกที่จะรับในวันที่ไปแจ้งความ โดยอ้างว่าติดภารกิจและนัดให้ตนมาอีกวัน ก่อนที่จะอ้างอีกครั้งว่าติดภารกิจเช่นเดิม
นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังกล่าวว่า หากตนรู้จักชื่อของคนร้าย จะทำให้คดีดำเนินไปได้รวดเร็วกว่า ตนจึงรู้สึกว่ากระบวนการมันล่าช้า นอกจากนั้นตนก็ยังได้มีการประสานไปยังที่ สภ.กระบี่ แล้ว แต่ทางพนักงานสอบสวน สภ.กระบี่ ก็ได้แจ้งให้ตนเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าว เพื่อทำการแจ้งความ ตนจึงเดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อให้ทางพนักงานสอบสวนช่วยเร่งรัดดำเนินคดีให้ เพราะมองว่าอำนาจการสอบสวนได้ครอบคลุม.
