ยังคงเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ที่หลายคนสนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง หลังล่าสุดนักร้องดัง “แสตมป์ อภิวัชร์” ออกมาเล่าเหตุการณ์สุดตกใจ ว่าตนเองและคุณนิว ภรรยาสาว ถูกคุกคามจากคน 2 คน แถมพ่อของฝ่ายหญิง ยังมียศเป็นถึงนายพล พร้อมข่มขู่แสตมป์จะมีการยัดคดีให้ จากนั้นมีการออกแถลงการณ์จากแฟนของคู่กรณี “แสตมป์” และเผยเอกสารถึงเรื่องการฟ้องชู้ และการนอกใจ อีกทั้ง แสตมป์ ได้ออกมาชี้แจง และยอมรับว่ามีการนอกใจภรรยาจริง และขอโทษหลายคนที่ถูกเอี่ยวไปด้วย ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถ้าหากใครยังสงสัยว่า การ “ฟ้องชู้” นั้น มีขั้นตอนอย่างไร ทางเดลินิวส์ออนไลน์ จะมัดรวม 10 หลักเกณฑ์ และแนวทางปฏิบัติในการฟ้องชู้ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. ฐานะทางสังคมและอาชีพการงาน การศึกษาของทุกฝ่าย ทั้งสามี ภริยา และตัวชู้
ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาเกี่ยวกับการกำหนดค่าทดแทนในคดีฟ้องชู้ เรื่องฐานะทางสังคมของคู่ความทุกฝ่าย จะเป็นหนึ่งเรื่องที่ศาลหยิบยกมาประกอบการกำหนดค่าทดแทนแทบทุกคดี โดยการวินิจฉัยของศาลนั้น จะวินิจฉัยถึงฐานะทางสังคมของคู่ความทุกฝ่าย ทั้งตัวสามี ภรรยา และตัวชู้ โดยคู่สมรส และตัวชู้ที่มีฐานะทางสังคมสูง ก็มีโอกาสที่ศาลจะกำหนดค่าทดแทนในคดีนั้นสูงตามขึ้นไปด้วย
โดยมีประเด็นที่ศาลมักจะหยิบยกมาวินิจฉัย ในการกำหนดค่าทดแทน มีดังนี้
1. การศึกษาเป็นอย่างไร
ยิ่งฝ่ายที่มีชู้ หรือคู่สมรสมีการศึกษาสูงมาก หรือจบในวิชาชีพสาขากฎหมายที่จำเป็นต้องทำงานที่ต้องเป็นที่เชื่อถือของสังคม เช่นนิติศาสตร์ แพทย์ ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่จะต้องรู้จักผิดชอบชั่วดีมากกว่าบุคคลอื่น หากคู่สมรสหรือชู้ที่มีฐานะทางสังคมสูง กระทำการนอกใจคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะนำวิธีใช้กำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น
2. ทำอาชีพอะไร
เป็นประเด็นที่สำคัญ เพราะถ้าหากเป็นอาชีพที่จะต้องได้รับความเชื่อถือ หรือเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น เป็นครู เป็นหมอ แล้วปรากฏว่ามีพฤติการณ์นอกใจคู่สมรส ย่อมถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง และสังคมไม่ยอมรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น

3. เป็นที่รู้จักทางสังคมแค่ไหน
บางอาชีพนั้นเป็นที่รู้จักของสังคมอย่างกว้างขวาง เช่น นักการเมือง ดารานักแสดง นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร อาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เป็นชู้ขึ้นแล้ว ย่อมเป็นที่รู้ของวงสังคมระดับกว้างขวาง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายมาก และศาลก็จะกำหนดค่าเสียหายให้สูงขึ้นเช่นกัน
4. มีรายได้เป็นอย่างไร
รายได้ของคู่ความที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนั้น ยอมเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะนำมาประกอบว่า ควรจะกำหนดค่าทดแทนเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ ถ้าคู่กรณีทุกฝ่ายมีรายได้ไม่เยอะมาก เช่น ทั้งชู้และคู่สมรส เป็นพนักงานบริษัท มีเงินเดือนเพียงเดือนละ 15,000 บาท ศาลก็อาจจะกำหนดค่าทดแทนเป็นจำนวนไม่สูงมาก แต่ถ้าคู่กรณีมีรายได้สูง เช่น ทั้งตัวสามีภริยา และตัวชู้เป็นนักธุรกิจ มีรายได้เดือนหนึ่งหลักล้าน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลนำมากำหนดเป็นประเด็นให้ค่าทดแทนสูงขึ้น
โดยพยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ มีดังต่อไปนี้
– หนังสือรับรองการทำงาน สลิปเงินเดือน
– วุฒิการศึกษา
– หลักฐานแสดงการประกอบธุรกิจ เช่น หนังสือรับรองบริษัท
– หลักฐานอื่นๆ ที่แสดงถึงรายได้ เช่น หลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินและธุรกิจ
– หลักฐานที่แสดงถึงฐานะทางสังคม เช่น การเป็นผู้นำชุมชน (หนังสือรับรองตำแหน่ง) นักการเมือง ดารานักแสดง
2.แต่งงานกันมานานแค่ไหน
กรณีที่คู่สมรสแต่งงานกันมาเป็นเวลานาน เช่น แต่งงานกันมาเป็นเวลา 20 ปี มีครอบครัวมั่นคง ในกรณีเช่นนี้ หากมีพฤติการณ์เป็นชู้เกิดชึ้น และทำให้ครอบครัวแตกแยก ค่าทดแทนที่จะได้รับย่อมจะสูงกว่ากรณีที่คู่สมรสเพิ่งแต่งงานกันมาเป็นเวลาไม่นาน ตัวอย่างเช่น บางกรณีคู่สมรสอาจจะเพิ่งจดทะเบียนสมรสกันเพียงไม่กี่เดือน และอีกฝ่ายก็ไปมีชู้เลย เช่นนี้ค่าเสียหายที่ได้ย่อมลดหลั่นลงมา นอกจากนี้ คู่สมรสบางคู่ที่แม้เพิ่งจะจดทะเบียนสมรสไม่นาน แต่ได้อยู่กินร่วมกันมานานแล้ว ก็ควรนำสืบถึงกรณีที่เคยอยู่กินร่วมกันมาก่อนจดทะเบียนสมรสมาเป็นเวลานานด้วย เพื่อประกอบการพิจารณาของศาลว่า ถึงแม้จะจดทะเบียนสมรสมาไม่นานมาก แต่ได้อยู่กินกันมาเป็นเวลาน และมีความรักความผูกพันกับคู่สมรสมาเป็นเวลานาน เพื่อขอให้ศาลกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น
โดยพยานหลักฐานที่ใช้การนำสืบ
– สำเนาใบสำคัญการสมรส
– หลักฐานการคบหากัน อยู่กินร่วมกันก่อนจะจดทะเบียนสมรส เช่น รูปถ่าย

3.มีการจัดงานแต่งงานกันหรือไม่
คู่สมรสบางคู่นั้นจัดงานสมรสใหญ่โต มีผู้หลักผู้ใหญ่ มีนักการเมืองที่มีชื่อเสียง มีข้าราชการใหญ่ๆ มาร่วมเป็นประธานและสักขีพยานในงานพิธี มีแขกเหรื่อ ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก จัดงานสมรสที่โรงแรมใหญ่โต เสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานสมรสเป็นจำนวนมาก ซึ่งกรณีนี้เป็นส่วนหนึ่ง ที่ศาลจะนำมาวินิจฉัยในการกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น เพราะการเป็นชู้จนทำให้ครอบครัวแตกแยก ในกรณีนี้ ย่อมทำให้คู่สมรสได้รับความเสียหายอับอายต่อบุคคลอื่นเป็นอย่างมาก เพราะมีสักขีพยาน ร่วมรู้เห็นกับการสมรสเป็นจำนวนมาก ในทางกลับกันคู่สมรสบางคู่ไม่ได้จัดงานสมรสกันเลย เพียงแต่อยู่กินด้วยกันเฉยๆแล้วจดทะเบียนสมรส กรณีนี้ ถ้าเราเป็นฝ่ายจำเลย ก็สามารถหยิบยกมาเป็นประเด็นเพื่อต่อสู้ได้ว่า ค่าเสียหายในคดีควรจะไม่สูงมาก
โดยพยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
– รูปถ่ายหรือวิดีโอในงานวันสมรส ที่ปรากฏว่ามีคนร่วมงานมากแค่ไหน มีใครเข้าร่วมพิธีการบ้าง
– การ์ดเชิญงานแต่งงาน
– หลักฐานค่าใช้จ่ายในการจัดงานสมรส
4. มีบุตรด้วยกันหรือไม่
ในกรณีที่คู่สมรสมีบุตรด้วยกัน การเป็นชู้ย่อมทำให้ครอบครัวเกิดความแตกแยก ทำให้บุตรได้รับความเดือดร้อนเสียใจ รวมทั้งได้รับความอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่บุตรยังเล็กอยู่ การที่ครอบครัวแตกแยกย่อมทำให้บุตรได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทั้งทางจิตใจ และอาจจะทำให้ขาดการอุปการะเลี้ยงดูและเอาใจใส่จากคู่สมรสฝ่านที่มีชู้ จนอาจทำให้เป็นเด็กที่มีปมด้อย ดังนั้นในกรณีที่คู่สมรสมีบุตรด้วยกัน และบุตรยังเล็กอยู่ ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ศาลจะนำมาหยิบยกกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น มากกว่ากรณีที่คู่สมรสไม่มีบุตรด้วยกัน
โดยพยานหลักฐานที่ใช้ในการนำสืบกรณีนี้
– สูติบัตรของลูก
– หลักฐานการศึกษาของบุตร เช่น ใบเสร็จค่าเทอม และหลักฐานเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ของบุตร
5.ความสัมพันธ์ในครอบครัวก่อนเกิดเหตุการณ์มีชู้เป็นอย่างไร
คู่สมรสบางคู่นั้น เขารักกันมากอยู่กินมาด้วยกันเป็นเวลานาน ไม่เคยมีการนอกใจกันเกิดขึ้น ครอบครัวมีความอบอุ่น และมีความสุขกันเป็นอย่างดี แต่ปรากฏว่าเมื่อมีมือที่สามเข้ามา ทำให้ครอบครัวเขาต้องแตกแยก คู่สมรสได้รับความเดือดร้อนเสียหายเสียใจเป็นอย่างมาก กรณีเช่นนี้ศาลมักจะกำหนดค่าทดแทนให้สูง และในกรณีที่เราเป็นทนายความฝ่ายโจทก์ก็ควรจะต้องนำสืบให้ศาลเห็นถึงประเด็นนี้ด้วย แต่คู่สมรสบางคู่นั้น ปรากฏว่าก็แยกกันอยู่มาเป็นเวลานาน เพราะทะเลาะกันหรือมีความเห็นไม่ตรงกันจนไม่สามารถอยู่กินร่วมกันได้ เพียงแต่ไม่ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน
คู่สมรสบางคู่ ถึงไม่ได้แยกกันอยู่แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานทะเลาะกันระหองระแหงตลอดมา หรืออีกฝ่ายหนึ่งก็มีชู้เป็นประจำ หรือมีการเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นเมียน้อยอีกหลายคนเป็นปกติอยู่แล้ว ในกรณีหลัง ที่คู่สมรสมีปัญหากันอยู่แล้วนั้น ศาลย่อมกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำ เพราะการเป็นชู้หรือมีชู้นั้นไม่ได้เป็นเหตุให้ครอบครัวแตกแยก แต่ครอบครัวนั้นได้มีปัญหาแตกแยกกันมาก่อนที่จะมีชู้เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งหากเราเป็นทนายความจำเลยก็จะต้องนำสืบประเด็นนี้ให้ศาลเห็น เพื่อกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำลง ตัวอย่างจากคดีความจริง ที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้ต่ำเพราะความสัมพันธ์ในครอบครัวคู่สมรสไม่ดีอยู่แล้ว ซึ่งผมเคยได้เผยแพร่ไว้ครับ “ตัวอย่างคำพิพากษาที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้ต่ำเพราะความสัมพันธ์ในครอบครัวของคู่สมรส”
โดยพยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
– รูปถ่ายคู่กันระหว่างสามีภริยา รูปถ่ายครอบครัว หลักฐานการสนทนา การไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสเป็นไปด้วยดีตลอดมา
– พยานหลักฐานที่แสดงว่าหลังเกิดเหตุการณ์มีชู้แล้ว ครอบครัวแตกแยก เช่น หลักฐานการทะเลาะด่าทอ หลักฐานการทำร้าย การแจ้งความ หลักฐานทางสื่อออนไลน์ต่างๆ
6.พฤติการณ์ในการเป็นชู้เปิดเผยแค่ไหน
พฤติกรรมในการเป็นชู้นั้น บางกรณีมีลักษณะแบบปกปิด ไม่ได้เปิดเผยตัวเองต่อที่สาธารณะ มีลักษณะเป็นการแอบพบเจอกันตามโรงแรม หรือบ้านพักส่วนตัว ไม่มีการนำตัวชู้ไปเปิดเผยให้กับบุคคลอื่นรับทราบในวงกว้าง ไม่มีการนำรูปคู่หรือความสัมพันธ์ไปเผยแพร่ตามสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งกรณีนี้ศาลก็จะกำหนดค่าเสียหายให้ต่ำ เพราะพฤติการณ์ไม่ร้ายแรงนัก ซึ่งหากเราเป็นฝ่ายจำเลยก็ต้องนำสืบประเด็นนี้ให้ศาลเห็น แต่ในการเป็นชู้บางรายนั้น มีลักษณะเปิดเผยเต็มที่อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดๆ เช่น ลงรูปคู่แสดงความรักกันในสื่อออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ หรือ อินสตาแกรม พาไปเที่ยวสถานบันเทิงต่างๆ อย่างเปิดเผย
อีกทั้ง แสดงตนโดยเปิดเผยกับเพื่อนๆ ที่ทำงานทุกคน นำไปให้บิดามารดารู้จัก หรืออยู่กินกันแบบเปิดเผยที่บ้าน หรือบางกรณีชู้บางคนยังมาระรานหรือด่าเมียหลวงด้วย หรือบางกรณีถึงขั้นจัดงานสมรสกันเลยดังที่เคยเป็นข่าว กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่มีความสำนึกในศีลธรรมอันดี และศาลจะกำหนดค่าเสียหายให้สูงกว่าปกติ และหากเราเป็นทนายความฝ่ายโจทก์ก็ควรนำสืบประเด็นนี้ด้วย
โดยพยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
– หลักฐานการเป็นชู้ เช่น รูปถ่ายระหว่างชู้กับคู่สมรส หลักฐานการแสดงตัว เช่น ไปร่วมงานต่างๆ ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ หลักฐานที่โชว์ในเฟซบุ๊ก หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่มีการเยาะเย้ย ถากถาง หรือแสดงตัวเปิดเผย
– หลักฐานจากกล้องวงจรปิด ตามสถานที่ต่างๆ
– สูติบัตรของบุตรของชู้กับคู่สมรส
– พยานบุคคลที่รู้เห็นเรื่องการเป็นชู้ หรือเห็นว่าชู้กับคู่สมรสเคยมีความสัมพันธ์กัน
– หลักฐานการโอนเงินระหว่างชู้กับคู่สมรส ใบเสร็จค่าสินค้าต่างๆที่ซื้อให้กัน
7.เป็นชู้กันมานานแค่ไหน
ในกรณีที่เป็นชู้กันเพียงระยะเวลาไม่นาน เช่น อาจจะเป็นแค่เดือนเดียว อาทิตย์หรือ 2 อาทิตย์ กรณีเช่นนี้ย่อมถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคู่สมรสยังไม่มากเท่าใดนัก ซึ่งศาลก็มักจะกำหนดค่าเสียหายให้ต่ำ ซึ่งหากเราเป็นทนายความจำเลยก็ต้องนำสืบในประเด็นนี้ด้วย แต่ในกรณีที่พฤติกรรมเป็นชู้มาเป็นเวลานานเป็นปีจนกระทั่งถูกจับได้เช่นนี้ ในระหว่างที่เป็นชู้กันนั้น ฝ่ายชู้อาจได้รับผลประโยชน์ต่างๆ จากคู่สมรสเป็นจำนวนมาก ซึ่งย่อมเป็นประเด็นที่ศาลจะกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น หากเราเป็นทนายความฝ่ายโจทก์ก็ต้องนำสืบในประเด็นนี้ด้วย
โดยพยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
– หลักฐานการเป็นชู้ เช่น รูปถ่ายในเฟซบุ๊ก ไลน์ หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่มีการปรากฏวันที่ที่แสดงตัว
– หลักการสนทนาผ่านโปรแกรมไลน์ เฟซบุ๊ก หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ ระหว่างชู้กับคู่สมรส
– หลักฐานการโอนเงินให้กันระหว่างชู้กับคู่สมรส
– พยานบุคคลที่รู้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายคบหากันมานานแค่ไหน เช่น เพื่อนร่วมงาน คนแถวบ้าน
8. ฝ่ายชู้รู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายมีคู่สมรสอยู่แล้ว
สำหรับบุคคลที่เข้ามาเป็นมือที่สาม หรือเป็นชู้กับคู่สมรสนั้น บางครั้งเขาเองก็ไม่รู้ว่าคู่สมรสฝ่ายนั้นมีสามีหรือภรรยาอยู่แล้ว เพราะบางครั้งคู่สมรสบางคู่ก็ไม่ได้อยู่กินด้วยกันตลอดด้วยเหตุผลทางภาระหน้าที่การงาน หรือเหตุผลส่วนตัว และบางครั้งคู่สมรสที่ไปมีชู้นั้น ก็ไปหลอกลวงหรือแสดงตนกับบุคคลอื่นว่า ตนเองเป็นคนโสด ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ไม่ว่าชู้จะรู้หรือไม่รู้ว่าบุคคลที่ตนเองเข้าไปมีความสัมพันธ์นั้น มีคู่สมรสอยู่แล้วหรือไม่ ก็ต้องรับผิดทางแพ่งตามกฎหมาย ไม่สามารถปฏิเสธว่าไม่รู้เพื่อไม่ต้องรับผิดได้
นอกจากนี้ ในประเด็นข้อกฎหมายนี้ผู้สนใจโปรดอ่านบทความ เรื่อง เป็นชู้โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีคู่สมรสอยู่แล้ว จะต้องรับผิดชดใช้ค่าทดแทนหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ชู้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีคู่สมรสอยู่แล้ว ย่อมถือได้ว่าไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายหรือฝ่าฝืนต่อศีลธรรม ศาลย่อมจะกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำ ซึ่งบางทีอาจจะเสียเพียงแค่เงินหลักหมื่นเท่านั้น ดั้งนั้นหากเราเป็นฝ่ายจำเลยก็ต้องนำสืบประเด็นนี้ให้ชัดเจน แต่ในกรณีที่ฝ่ายชู้รู้ดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่ยังเต็มใจเข้าไปมีความสัมพันธ์ด้วย ย่อมถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่มีความสำนึกในศีลธรรมอันดี ซึ่งศาลย่อมกำหนดค่าทดแทนให้สูง และเป็นส่วนหนึ่งที่ฝ่ายโจทก์จะต้องนำสืบให้ชัดเจน
โดยพยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
– หลักฐานการสนทนาผ่านสื่อออนไลน์ ระหว่างชู้กับคู่สมรส หรือชู้กับเพื่อนๆ ที่แสดงให้เห็นว่าชู้รู้อยู่แล้ว ว่าอีกฝ่ายมีคู่สมรสอยู่แล้ว (ธรรมดาแล้วมักจะปรากฏเสมอ ว่าเจ้าตัวจะคุยหรือจะบอกกับเพื่อนหรือคนที่สนิท ถึงประเด็นดังกล่าว)
– พยานบุคคลที่ยืนยันได้ว่า ตัวชู้รู้หรือไม่รู้ว่า คู่สมรสมีสามีภริยาอยู่แล้ว เช่น เพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว
9. หลังจากถูกจับได้แล้ว มีพฤติการณ์สำนึกผิดหรือไม่
หลังจากที่ถูกจับได้ว่าเป็นชู้หรือมีชู้กันแล้ว หากคู่สมรสฝ่ายที่มีชู้และฝ่ายตัวชู้สำนึกผิด หยุดความสัมพันธ์ดังกล่าวไว้ทันที พร้อมทั้งแสดงความจริงใจขอขมากับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมถือว่าชู้และคู่สมรสฝ่ายนั้น มีความสำนึกในการกระทำของตนเอง ศาลย่อมกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำลง แต่หากหลังจากถูกจับได้ว่าเป็นชู้หรือมีชู้กันแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ซ้ำร้ายยังไประรานคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง หรือพยายามขอเลิกกับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง หรือชู้บีบให้คู่สมรสเลิกรากันเพื่อมาอยู่กินกับตนเอง พฤติกรรมเช่นนี้เรียกว่าไม่มีความสำนึกใดๆ และศาลย่อมกำหนดค่าทดแทนให้สูง
โดยพยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
– หลักฐานการเป็นชู้ เช่นรูปถ่ายในเฟซบุ๊ก ไลน์ หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ ภายหลังการเกิดเหตุ
– พยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์
10. มีการฟ้องหย่าประกอบด้วยหรือไม่ และอีกฝ่ายได้ทรัพย์สินจากการฟ้องหย่าไปด้วยหรือไม่
ซึ่งประเด็นนี้เป็นไปตามข้อกฎหมายคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1525 วรรคสอง ที่วางหลักว่า หากคู่สมรสมีการฟ้องหย่าประกอบการฟ้องชู้ด้วยนั้น ต้องดูว่ามีการแบ่งทรัพย์สินกันเป็นอย่างไร เช่น สามีมีชู้ ภรรยาจึงฟ้องหย่าพร้อมกับฟ้องชู้ และภรรยาได้รับส่วนแบ่งสินสมรสประมาณ 20 ล้าน ในคดีฟ้องหย่า เช่นนี้ในกรณีฟ้องชู้เรียกค่าทดแทน ศาลอาจจะกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำลง เพราะเห็นว่าฝ่ายภรรยาได้ทรัพย์สินสมรสไปส่วนหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม สรุปเรื่องหลักเกณฑ์การกำหนดค่าทดแทนในคดีฟ้องชู้ หลักเกณฑ์ ทั้งหมด 10 ข้อนี้ เป็นหลักเกณฑ์ที่ศาลนำมาประกอบการวินิจฉัยในการกำหนดค่าทดแทนในคดีฟ้องชู้ แทบทุกคดี ซึ่งเมื่อเราทราบหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ย่อมเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีฟ้องชู้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ว่าเราจะเป็นฝ่ายโจทก์หรือฝ่ายจำเลย ถ้าเราเป็นฝ่ายโจทก์ก็ต้องนำสืบประเด็นต่างๆ ให้ศาลกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น ไม่ใช่นำสืบเพียงแต่ว่ามีการเป็นชู้เกิดขึ้นเท่านั้น ถ้าเป็นฝ่ายจำเลยหากสอบข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่าท่านจะต้องรับผิดจริง ไม่มีทางสู้คดีได้ ท่านก็ต้องถามค้านและนำสืบพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อให้ศาลให้เห็นว่าพฤติการณ์ของเราไม่ร้ายแรง เพื่อให้ศาลกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำลง
ขอบคุณข้อมูล : ทนายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์