สมรสเท่าเทียมและสถิติเด็กกำพร้าที่จะลดลงในอนาคต เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

ก่อนหน้านี้ คู่รักเพศเดียวกันในประเทศไทยประสบปัญหาในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมายที่ไม่เปิดโอกาสให้คู่รักเพศเดียวกันมีสถานะครอบครัวที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการเลี้ยงดูบุตรได้อย่างเท่าเทียมกับคู่รักต่างเพศ แม้ว่าจะมีความพร้อมทางด้านการเงินและความรักที่จะมอบให้เด็กก็ตาม

อย่างไรก็ตาม การมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้เปิดโอกาสให้คู่รักเพศเดียวกันมีสิทธิในการจดทะเบียนสมรสและได้รับการยอมรับในฐานะครอบครัว ซึ่งรวมถึงสิทธิในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ส่งผลให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถเข้าถึงกระบวนการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมได้อย่างเสมอภาค และมีโอกาสที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์

ข้อมูลจาก UNICEF และสถิติในหลายประเทศที่บังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม พบว่า คู่รักเพศเดียวกันมีความต้องการที่จะรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมสูงกว่าคู่รักต่างเพศถึง 4 เท่า โดยมีเหตุผลหลักมาจากความปรารถนาที่จะสร้างครอบครัวและเติมเต็มชีวิตคู่ด้วยการเลี้ยงดูเด็ก การเปิดโอกาสให้คู่รักเพศเดียวกันได้เข้าถึงสิทธิในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม จึงเป็นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ และส่งผลให้จำนวนเด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

Hands Hold Together with Prism Lights

ปัญหาเด็กกำพร้าในไทยและโอกาสใหม่จากการรับบุตรบุญธรรม

สถานการณ์เด็กกำพร้าในประเทศไทยนับเป็นปัญหาสังคมที่ต้องการความใส่ใจอย่างเร่งด่วน ปัจจุบันมีเด็กกำพร้าจำนวนมากที่รอคอยครอบครัวอุปถัมภ์เพื่อมอบความรักและการดูแลอย่างใกล้ชิด แม้จะมีสถานสงเคราะห์คอยให้การช่วยเหลือ แต่สิ่งแวดล้อมแบบครอบครัวก็ยังคงมีความสำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาของเด็กอย่างเต็มที่

การเปิดโอกาสให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ จึงนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายทางเลือกในการดูแลเด็กกำพร้า และเป็นการเพิ่มโอกาสให้เด็กเหล่านี้ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและมีเสถียรภาพมากขึ้น การตัดสินใจของคู่รักเพศเดียวกันในการรับบุตรบุญธรรม ไม่เพียงแต่จะเป็นการช่วยเหลือเด็กคนหนึ่ง แต่ยังเป็นการสร้างครอบครัวรูปแบบใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเมตตา และความรับผิดชอบต่อสังคม

พัฒนาการของเด็ก

งานวิจัยจากสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกา (American Psychological Association : APA) ระบุว่า เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นเพศเดียวกัน มีพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมที่ไม่แตกต่างจากเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่มีพ่อแม่ต่างเพศ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กคือ ความรัก ความเอาใจใส่ และสภาพแวดล้อมที่มั่นคง ซึ่งครอบครัวทุกประเภทสามารถมอบให้ได้ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโต ย่อมมีโอกาสในการ
พัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวยืนยันว่า ความหลากหลายของรูปแบบครอบครัวไม่ได้เป็น
อุปสรรคต่อการพัฒนาเด็ก แต่สิ่งสำคัญคือความรักและการดูแลเอาใจใส่ที่เด็กได้รับ

Group of kids friend laughing together

ลดภาระของระบบสวัสดิการสังคม

เมื่อจำนวนเด็กกำพร้าที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ลดลง ย่อมช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในด้านการดูแลและการจัดการสถานสงเคราะห์ ทำให้รัฐสามารถนำไปใช้พัฒนาระบบสวัสดิการด้านอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การส่งเสริมคุณภาพการศึกษาและการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น

จะเห็นแล้วว่า การที่คู่รักเพศเดียวกันสามารถรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมาย ไม่เพียงแต่จะช่วยลดจำนวนเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมให้สังคมไทยมีครอบครัวหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางเพศและความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมปัจจุบัน เพราะการสร้างครอบครัวที่แข็งแกร่งและมั่นคงจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเด็กทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับสังคมไทยในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การลดลงของสถิติเด็กกำพร้าจากการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมโดยคู่รักเพศเดียวกัน อาจไม่ใช่ปัจจัยเดียว
ที่ส่งผลต่อสถิติโดยรวม แต่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
การจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ครอบคลุมจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่อบอุ่น ปลอดภัย และเท่าเทียมสำหรับเด็กทุกคน.