เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 23 ม.ค. กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นสิ่งที่คู่รักหลากเพศหลายคู่เฝ้ารอมายาวนาน บางคู่ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน สร้างอาชีพ และมีทรัพย์สินร่วมกัน กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นสิ่งยืนยันสิทธิเท่าเทียมทางกฎหมาย ซึ่งกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยจะมีผลบังคับใช้ 22 ม.ค. 68 นี้ เปิดโอกาสให้คู่รักเพศเดียวกัน ทั้งคู่รักจากไทย และคู่รักกับชาวต่างชาติ ที่อาจมาจากประเทศที่ยังไม่รองรับกฎหมายนี้ ได้จดทะเบียนสมรสในไทยได้

จ.พิษณุโลก ขณะที่บรรยากาศ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองพิษณุโลก มีการตกแต่งสถานที่เป็นสีรุ้ง แสดงออกเชิญสัญลักษณ์ LGBTQ+เจ้าหน้าที่สวมเสื้อสีแสดเชิงสัญลักษณ์สีรุ้ง โดยมีนายทะเบียน พร้อมด้วยปลัดอาวุโส ได้ดำเนินการจดทะเบียนสมรสให้กับทั้ง 3 คู่รัก ซึ่งมีทั้ง ชายกับชาย และหญิงกับหญิง พร้อมด้วยพยานรักของแต่ละคู่ ที่วันนี้เดินทางมารอจดทะเบียนด้วยความยินดีตั้งแต่เช้า ซึ่งบรรยากาศเป็นอย่างชื่นมื่นแต่เช้ากันทีเดียว และคาดว่าตลอดทั้งวันจะมีคู่รักเท่าเทียมเดินทางมาจดทะเบียนกันอย่างต่อเนื่องทั้งวัน

นายวชิรพงศ์ พลอยงาม หรือ มิกซ์ อายุ 33 ปี และนายรัตนนนท์ รักษาสัตย์ หรือ อ๊อฟ อายุ 40 ปี คู่สมรสคู่แรก ทั้งคู่อยู่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 2 ต.บ้านคลอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า ได้ประกอบอาชีพค้าขายมาด้วยกัน ตั้งแต่คบกันมาถึงปัจจุบัน รวมเวลา 18 ปี วันนี้ดีใจมากๆ เมื่อคืนนอนไม่หลับ ตื่นเต้น เพราะเรา 2 คน รอคอยวันนี้มาเป็นเวลานานมากๆ ขอบคุณรัฐบาลและทุกฝ่ายที่ออกกฎหมาย สมรสเท่าเทียม สิ่งยืนยันสิทธิเท่าเทียมทางกฎหมาย เพราะเราคบกันมาถึง 18 ปี มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เราสร้างมาด้วยกัน สร้างมาเพื่อกันและกัน ก่อนหน้านี้เคยไปรักษาที่ รพ. เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ต้องรอญาติครอบครัวจากที่บ้านเดินทางมา มันหลายทอดกว่าเราจะได้รับการรักษา

“วันนี้มีความหมายกับเรามากๆ สำหรับคู่ที่คบกันมานานๆ อย่างคู่เรา เรามีอะไรร่วมกันมากมายที่สร้างมา โดยเฉพาะในช่วงจังหวะชีวิตที่เจ็บป่วย มันสามารถที่จะช่วยทำให้อีกคนสามารถ ที่จะใช้สิทธิดูแลอีกคนได้อย่างเต็มที่ หรือแม้แต่ ถ้าวันใดวันหนึ่งมีใครเป็นอะไรไปก่อนจะได้สิทธิตามกฎหมายในสิ่งที่เราสร้างมาด้วยกัน โดยที่ไม่ต้องห่วงฝ่ายที่ยังอยู่ว่าเขาจะลำบากไหม เรียกได้ว่านอนตายตาหลับแล้ว” คู่สมรสเท่าเทียม กล่าว

ขณะที่คู่รักน้องนิว หรือ น.ส.หทัยชนก เอี่ยมสะอาด อายุ 31 ปี และน้องฟ้าน.ส.ชยุดา คำศรีบัว อายุ 30 ปี เป็นคู่รักที่คบกันมา 8 ปี เปิดเผยว่าตื่นเต้นและดีใจมากๆ ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เรารอคอยเวลานี้มา 8 ปี จนวันนี้เราได้จดทะเบียนสมรสกัน หลังจากที่จัดงานแต่งกันมาแล้ว ตนทั้งคู่ทำอาชีพพนักงานราชการ และทำธุรกิจส่วนตัวร่วมกันมา ซึ่งเราตั้งใจว่าอยากจะไปทำธุรกิจที่อเมริกากับญาติ ซึ่งหากจดทะเบียนสมรสกันแล้ว จะทำให้การเดินทางเข้าประเทศของทั้งคู่ สามารถเข้าไปได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงทรัพย์สิน และการดูแลเรื่องสุขภาพ ที่เรากังวลกันมาตลอด วันนี้เหมือนทุกอย่างปลดล็อกแล้ว กฎหมายรองรับสิทธิสมรมเท่าเทียมแล้ว ดีใจมากๆ

ส่วนคู่รักของ น.ส.อาริยา ทองเสือ อายุ 49 ปี และ น.ส.ขนิษฐา กาปัญญา อายุ 33 ปี เป็นคู่รักที่คบกันมา 5 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.อรัญญิก อ.เมือง จ.พิษณุโลก บอกว่ารอวันนี้มา 5 ปีแล้ว เหมือนเป็นวันนี้ที่รอคอย อยากมีวันนี้ อยากให้เป็นที่ยอมรับในสังคม และมีสิทธิตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ เพราะเราจะได้ฝากชีวิตซึ่งกันและกันได้ อะไรที่สร้างมาด้วยกันจะได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ต้องห่วงกันว่าถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดเป็นอะไรไป อีกฝ่ายจะลำบาก เพราะเราสร้างอะไรมาด้วยกันเยอะ

จ.สงขลา บรรยากาศสมรสเท่าเทียมของชาว LGBTQ+ ผู้หญิงข้ามเพศ เต็มไปด้วยความรักและความสุขสมกับที่หลายคู่รอคอยกันมานาน เช่นที่ว่าการอำเภอสะเดา จ.สงขลา อำเภอชายแดนไทย-มาเลเซีย ของ จ.สงขลา มีคู่รัก 3 คู่ มาจดเทียนสมรสเท่าเทียม เป็นคู่ชาย 1 คู่ และคู่หญิง 1 คู่ โดยมี นายวิเชษต์ สายกี้เส้ง นายอำเภอสะเดา ตีฆ้องเป็นการเริ่มต้นสมรสเท่าเทียมให้ดังกึกก้องไปทั้งอำเภอและประกาศให้รู้ทั่วกัน


คู่แรกเป็นการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมของนายดุจษะนันทน์ รชุดา หรือเจ๊เมย์ อายุ 58 ปี กับนายชรนนีดัน จันทร์หอม อายุ 21 ปี ซึ่งทั้งคู่อายุห่างกันถึง 37 ปี มาพร้อมกับหนูน้อยที่เป็นพยานรัก 1 คน


โดยเจ๊เมย์มาในชุดเจ้าสาวสวยงาม ส่วนนายชรนนีดัน มาในชุดสูทเจ้าบ่าวสีทอง มี นายวิเชษต์ สายกี้เส้ง นายอำเภอสะเดา ร่วมเป็นสักขีพยาน และให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต พร้อมมอบของที่ระลึกให้แก่คู่รักทั้งสมคู่ และถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก

 
เจ๊เมย์ กล่าวว่า วันนี้ตนเองรู้สึกดีใจมาก เป็นวันที่รอคอยมานานแสนนาน ซึ่งการจดทะเบียนในวันนี้ มันแสดงถึงความเท่าเทียมกันในสังคม ไม่แบ่งแยกเพศ และให้โอกาสในการทำธุรกรรมต่างๆ ง่ายขึ้น

สำหรับ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ มีผลบังคับใช้ 23 มกราคม 2568 การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ นับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับชุมชน LGBTQ+ ผู้หญิงข้ามเพศ และผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งไทยเป็นชาติแรกในอาเซียนและเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียที่มีการอนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้