สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม ทรูธ โซเชียล เกี่ยวกับการประกาศขึ้นภาษีแคนาดาและเม็กซิโก ในอัตรา 25% และสินค้าจากจีนต้องเผชิญกับอัตราภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 10% ว่าเรื่องนี้อาจทำให้สหรัฐ “เจ็บปวดมากขึ้นหรือไม่ก็ได้” แต่ “สหรัฐจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” และมาตรการนี้ “คุ้มค่ากับทุกสิ่งที่เสียไป”


ทั้งนี้ หลายฝ่ายยังคงออกมาโต้แย้งและแสดงความวิตกกังวล ว่ากำแพงภาษีครั้งนี้ จะยิ่งชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ “อย่างน้อยในระยะสั้น” ซึ่งผู้นำสหรัฐและทีมงานโต้แย้งแนวคิดนี้มาโดยตลอด


อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์ประกาศกำแพงภาษีต่อแคนาดาที่ระดับ 10% ทำให้หลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกต ว่าอาจเป็นความพยายามควยคุมผลกระทบที่มีต่อราคาเชื้อเพลิงในประเทศ “ให้อยู่ในวงจำกัดที่สุด”


ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา ประกาศขึ้นภาษีสินค้าของสหรัฐในอัตรา 25% โดยส่วนหนึ่งจะมีผลในวันที่ 4 ก.พ. และที่เหลือจะมีผลภายในระยะเวลา 21 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในแคนาดาปรับตัว แต่ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ว่าสินค้าของสหรัฐที่แคนาดาจะขึ้นภาษีมีอะไรบ้าง


ปัจจุบัน 17% ของการส่งออกจากสหรัฐ มีปลายทางคือแคนาดา ขณะที่มากกว่า 75% ของสินค้าที่ส่งออกจากแคนาดา มีตลาดรับซื้อคือสหรัฐ


ย้อนกลับไปเมื่อครั้งทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐสมัยแรก มีการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดา ในอัตรา 25% และ 10% ตามลำดับ โดยทรัมป์ให้เหตุผล “เพื่อความมั่นของชาติ” หลังจากนั้น แคนาดาตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าหลายอย่างของสหรัฐ สงครามการค้าระหว่างสองประเทศมีผลเป็นเวลา 1 ปี ก่อนมีการบรรลุข้อตกลงร่วมกัน.

เครดิตภาพ : AFP