สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ว่า รายงานคาดการณ์ว่า การแข่งขันในตลาดทุเรียนจะดุเดือดมากขึ้น โดยการส่งออกจากเวียดนามและมาเลเซีย จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งน่าจะท้าทายสถานะของไทย ในการเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดในโลกมากยิ่งขึ้น


ฟิตช์มองว่า มาเลเซียจะกลายเป็นผู้ส่งออกทุเรียนสดป้อนตลาดจีนที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากข้อตกลงเมื่อปี 2567 ที่รัฐบาลจีนบรรลุข้อตกลงกับมาเลเซีย ในการอนุญาตการส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีน โดยในช่วงเวลานั้น มาเลเซียได้ส่งออกทุเรียนแช่แข็งทั้งเปลือกและเนื้อทุเรียนแช่แข็งไปยังจีนอยู่แล้ว


ส่วนการผลิตและการส่งออกทุเรียนของเวียดนาม มีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักบางประการที่ผลักดันการเติบโต ส่วนใหญ่คือสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยในไทยที่กระทบการส่งออก และข้อตกลงที่กระทรวงเกษตรของเวียดนามและสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปจีน บรรลุร่วมกันเมื่อปี 2565 ซึ่งอนุญาตการส่งออกทุเรียนสดไปยังจีน


นอกจากนี้ เวียดนามยังได้รับประโยชน์จากการมีพรมแดนทางบกติดกับจีน และการผลิตทุเรียนนอกฤดูกาล สิ่งนี้เป็นพัฒนาการสำคัญที่จะเพิ่มรายได้จากการส่งออกของเวียดนาม ควบคู่กับการเพิ่มการแปรรูปและลดแรงกดดันในการเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล


ด้านรัฐบาลอินโดนีเซียกำลังเร่งทำงานเพื่อให้สามารถส่งออกทุเรียนสดไปยังจีน ขณะที่ลาวเป็นอีกประเทศหนึ่งซึ่งฟิตช์คาดการณ์ว่า จะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานทุเรียน


จีนนำเข้าทุเรียนสดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสิบปีมานี้ และความต้องการทุเรียนจากจีนจะแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยคาดว่าในระยะสั้นถึงระยะกลาง จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในภาคส่วนนี้


ทั้งนี้ ทุเรียนเป็นหนึ่งในผลไม้ซึ่งมีราคาแพงที่สุดในจีน และมักถูกมองว่าเป็นสินค้าแปลกใหม่ที่มักรับประทานในโอกาสพิเศษ ฟิตช์จึงเชื่อว่า ทุเรียนเป็นสินค้าที่จะมีศักยภาพทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง ในแง่อำนาจซื้อของผู้บริโภค.

ข้อมูล-ภาพ : XINHUA