นาย จอร์จ บร็อคเคิลเฮิร์ส รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์  บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า การ์ทเนอร์เผยรายได้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในปี 68 จะมีมูลค่า 705 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น  จากปี 67 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 626 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  โดยชิป จีพียู แลโปรเซสเซอร์  เอไอ  ที่ใช้ในแอปพลิเคชันของดาตาเซ็นเตอร์ สำหรับ เซิร์ฟเวอร์ และ แอคเซอเลเรเตอร์ การ์ด เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในปีที่ผ่านมา โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับงาน เอไอ  และ เจเนอเรทีฟ เอไอ ทำให้ดาตาเซ็นเตอร์กลายเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากสมาร์ทโฟน ส่งผลให้ในปี 67 ที่ผ่านมา รายได้เซมิคอนดักเตอร์ในกลุ่มดาตาเซ็นเตอร์มีมูลค่ารวมที่ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ผลการดำเนินงานด้านบวกของตลาดโดยรวมส่งผลต่อการจัดอันดับผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายราย โดยมีผู้ผลิต 11 รายที่เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และมีเพียง 8 ราย จาก 25 อันดับแรกที่มีรายได้ลดลงในปีที่ผ่านมา โดย ซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ กลับมา ครองอันดับหนึ่ง แทน อินเทล และเพิ่มช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นในปี 67 โดยบริษัทฯ ได้แรงหนุนมาจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของราคาอุปกรณ์หน่วยความจำหรือ เมโมรี่ ไวซ์  ส่งผลให้มีรายได้รวมที่ 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ในปี 2567 การ์ทเนอร์พบว่าผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 9 จาก 10 อันดับแรกนั้นมีรายได้เติบโตเป็นบวก และการจัดอันดับ Top 10 มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   โดย Samsung Electronics กลับมาครองอันดับ 1 แทน Intel และเพิ่มช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นในปี 2567 โดยบริษัทฯ ได้แรงหนุนมาจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของราคาอุปกรณ์หน่วยความจำหรือ Memory Devices ส่งผลให้มีรายได้รวมที่ 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Intel เลื่อนมาอยู่อันดับ 2 เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทในกลุ่ม AI PCs และ Core Ultra Chipset ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ AI accelerator รวมถึงการเติบโตในธุรกิจ x86 ที่ยังมีไม่มากนัก ส่งผลให้รายได้เซมิคอนดักเตอร์ของ Intel เติบโตเล็กน้อยเพียง 0.1% ในปี 2567 และ NVIDIA ยังคงมีผลการดำเนินงานโดดเด่น บริษัทฯ มีรายได้เซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้น 84% ในปี 2567 คิดเป็นมูลค่ารวม 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจ AI

สำหรับในปี 2568 ชิป HBM จะมีสัดส่วนเป็น 19.2% ของรายได้จากชิปกลุ่ม DRAM โดยเพิ่มจาก 13.6% ในปีที่แล้ว รายได้จากหน่วยความจำ (Memory) เติบโต 71.8% ในปี 2567 หรือคิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 25.2% ของยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด ขณะที่รายได้ชิป DRAM เพิ่มขึ้น 75.4% ส่วนรายได้หน่วยความจำประเภท NAND เพิ่มขึ้น 75.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงหรือ High-Bandwidth Memory (HBM) มีส่วนสำคัญต่อรายได้ของผู้ผลิตชิป DRAM โดยรายได้ชิป HBM มีสัดส่วน 13.6% ของรายได้ชิป DRAM ทั้งหมดในปี 2567 และรายได้ Nonmemory เพิ่มขึ้น 6.9% ในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 74.8% ของรายได้เซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดในปี 2567

“Memory และ AI semiconductors จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะสั้น โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าตลาดชิป HBM จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 19.2% ของชิป DRAM ในปี 2568 และคาดว่ารายได้ชิป HBM จะเพิ่มขึ้น 66.3% ในปี 2568 มีมูลค่าแตะ 19.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” นายบร็อคเคิลเฮิร์ส กล่าว