จากกรณีเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 68 ศาลอาญากรุงเทพใต้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายฮวง ไฮ่ เท่า จำเลยที่ 1 นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว เป็นจำเลยที่ 2 รวมกับพวกสัญชาติจีน ไทย กัมพูชา และบริษัทนิติบุคคล รวม 5 แห่ง มีจำเลยรวม 23 ราย ในความผิดข้อหาเรื่องยาเสพติด การฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ กระทั่งศาลพิเคราะห์แล้ว ไม่พบพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงของโจทก์ที่ชี้ชัดได้ว่าจำเลยมารวมตัวกันและกระทำการเข้าข่ายความผิดดังกล่าว รวมถึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยในความผิดฐานฟอกเงิน จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลย 19 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวนี้มี นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว จำเลยที่ 2 และ พ.ต.อ.หญิง วันทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ (อดีตภรรยาของนายตู้ห่าว) จำเลยที่ 8 ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 12 ก.พ. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจาก นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. และในฐานะโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. ถึงขั้นตอนมาตรการทางทรัพย์สินของผู้ต้องหา ซึ่งถูกคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว ภายหลังศาลอาญายกฟ้องจำเลย ว่า สำหรับมาตรการดำเนินการกับทรัพย์สินตามกฎหมายของ ปปง. คือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และการยกฟ้องในคดีอาญา จะแยกออกจากกัน เนื่องด้วยการดำเนินการกับทรัพย์สินของ ปปง. คือการดำเนินการทางแพ่ง ย่อมไม่ผูกติดกับคดีอาญา ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้ว่าคดีมูลฐานศาลจะยกฟ้องก็ตาม ซึ่งหลักการดำเนินการกับทรัพย์สินนั้น ศาลแพ่งจะดูว่าทรัพย์สินดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอย่างไรบ้าง อีกทั้งการดำเนินการในคดีอาญา คือการกล่าวโทษบุคคลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือเป็นการนำผู้กระทำผิดเข้าเรือนจำ เพราะก็ต้องมีหลักฐานว่าบุคคลนั้น ๆ ได้กระทำความผิดจริง จึงแตกต่างจากมาตรการทางแพ่งของ ปปง. ที่ดูว่าทรัพย์สินดังกล่าวมันเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์เรื่องการค้ายาเสพติดหรือไม่ จึงขอยืนยันว่า แม้ว่าในคดีมูลฐาน ศาลจะมีการยกฟ้องจำเลย แต่ในคดีทางแพ่ง ไม่ได้หมายความว่าการดำเนินการกับทรัพย์สินจะต้องถูกยกไปด้วย
นายวิทยา เผยต่อว่า ส่วนสิ่งที่จะทำได้ภายหลังคดีมูลฐานถูกยกฟ้องนั้น คือ หากบุคคลที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้คัดค้านถูก ปปง. มีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ ก็อาจนำส่วนที่ศาลอาญายกฟ้องมาใช้ประโยชน์ หรือจะนำพยานหลักฐานใดมาใช้ต่อสู้ในคดีแพ่งก็ได้ ว่าทรัพย์สินที่ ปปง. ได้ยึดและอายัดไว้นั้น ไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีมูลฐาน โดยศาลแพ่งจะต้องดูด้วยว่าเหตุผลที่ถูกยกฟ้องในคดีอาญา รวมถึงสิ่งที่ผู้คัดค้านได้นำเสนอเข้ามามันมีความเพียงพอที่จะรับฟัง ทำให้ต้องยกในส่วนแพ่งไปด้วยหรือไม่ และหากรับฟังได้ ศาลแพ่งก็จะยกคำร้องของ ปปง. และของพนักงานอัยการ ทั้งนี้ จึงไม่ใช่การยกตามกันโดยอัตโนมัติ แต่มันแยกขาดจากกันระหว่างคดีอาญาและคดีแพ่ง ซึ่งศาลแพ่งต้องมีการชั่งน้ำหนักดูพยานหลักฐานประกอบการพิจารณา
นายวิทยา เผยอีกว่า ศาลแพ่งดูในเรื่องทรัพย์สิน และดูจากพฤติการณ์ในการสืบสวนประกอบกัน ดังนั้น การยึดและอายัดทรัพย์สินของ ปปง. ไม่ได้ยึดทรัพย์สินเฉพาะบุคคลเดียว แต่มีการยึดทรัพย์ในกลุ่มผู้ต้องหาเดียวกัน (ดังคำว่า …..กับพวก) หรือเรียกว่าเป็นการยึดทรัพย์สินในส่วนของผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ และศาลแพ่งจะเน้นในประเด็นว่ารายการทรัพย์สินนั้น ๆ เป็นทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่ และมีการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ ซึ่งคำว่า ”มีการกระทำความผิดในคดีมูลฐานเกิดขึ้น” ไม่จำเป็นจะต้องมีคำพิพากษาว่าบุคคลใดถูกลงโทษในทางอาญา เพราะการมีความผิดมูลฐานอาจจะมีพฤติการณ์เรื่องการสืบสวนก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. (นามสมมุติ) นาย ข. (นามสมมุติ) และนาย ง. (นามสมมุติ) เคยมีประวัติพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด แม้ทั้งหมดไม่เคยถูกจับกุมในคดียาเสพติดมาก่อนก็เป็นได้ แต่เมื่อศาลได้รับฟังจากพนักงานสอบสวน จนเห็นว่ามันมีพฤติการณ์เกี่ยวกับยาเสพติดเกิดขึ้น ก็มาดูต่อว่าเมื่อมันเกี่ยวกับพฤติการณ์การกระทำความผิดมูลฐานเกิดขึ้นแล้ว ทรัพย์สินดังกล่าวนั้น เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ ถ้าใช่ ศาลก็จะสั่งให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน แต่ถ้าไม่ใช่ ศาลก็จะยกไป
“ความผิดมูลฐานตามกฎหมายของ ปปง. เวลาส่งสำนวนเข้าสู่กระบวนการ มันไม่ได้เจาะจงเพียงคนสองคน แต่เราดูภาพรวมขบวนการทั้งหมด รวมถึงพฤติการณ์ภาพใหญ่ และหมายรวมถึงผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ในเรื่องนั้นด้วย” โฆษกสำนักงาน ปปง. ระบุ
นายวิทยา เผยด้วยว่า ภาพรวมในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด และการฟอกเงินที่ผ่านมา ซึ่งผ่านกระบวนการการดำเนินการทางทรัพย์สินตามกฎหมายของ ปปง. พบว่ามีหลายคดีที่หน่วยงานเกี่ยวข้องทำสำนวนรายการทรัพย์สินแล้วส่งมายัง ปปง. แต่ปรากฏว่าศาลได้ยกฟ้องในคดีมูลฐาน แต่ ปปง. มีการยึดทรัพย์สิน จึงเป็นใจความสำคัญว่าเหตุใดต้องมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพราะหลักในการรับฟังมันคนละส่วนกัน โดยคดีอาญา หลักใจความคือต้องฟังให้สิ้นสงสัย ใช้วิธีการพิสูจน์แบบอาญาฟอกเงิน คือต้องสิ้นสงสัยว่าบุคคลนั้น ๆ ได้กระทำผิดจริงหรือไม่จริง แต่หลักในการดำเนินการกับทรัพย์สินตามกฎหมายฟอกเงิน มันจะไม่ผูกติดกับคดีอาญา เพียงแค่นำเสนอให้ศาลเชื่ออย่างมีเหตุผลว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มาจากพฤติการณ์การกระทำความผิดมูลฐานก็เพียงพอแล้ว
นายวิทยา เผยต่อว่า สำหรับคดีแพ่ง หรือการดำเนินการกับทรัพย์สินของนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ และพวก ยังคงอยู่ระหว่างกระบวนการของศาลแพ่ง กล่าวคือ ทรัพย์สินของพวกเขายังถูกยึดและอายัดตามกฎหมายของ ปปง.
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบเอกสารคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.176/2567 เรื่อง ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว (เพิ่มเติม) โดยสามารถสรุปใจความเกี่ยวกับรายการทรัพย์สินรายคดีนายชัยณัฐร์ หรือตู้ห่าว กรณ์ชายานันท์ กับพวก ดังนี้ คำสั่ง ย.93/2566 ลงวันที่ 2 พ.ค. 66 อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 15 รายการ พร้อมดอกผล รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 34,128,760.65 บาท, คำสั่ง ย.141/2566 ลงวันที่ 8 ส.ค. 66 ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว (เพิ่มเติม) จำนวน 53 รายการพร้อมดอกผล แบ่งเป็น รวมทรัพย์สินที่ยึดอายัด 34 รายการ รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 14,976,325.04 บาท รวมทรัพย์สินที่ยึดและอายัด 53 รายการ รวมราคาประเมินจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 37,654,858.29 บาท
และจากการตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบุคคล รวมทั้งผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงินในคดีดังกล่าว สำนักงาน ปปง. พบข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายชัยณัฐร์ หรือตู้ห่าว และพวก เป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือมีสิทธิครอบครองในทรัพย์สินเพิ่มเติมอีกจำนวน 46 รายการ ประกอบด้วย รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแล้วปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และเนื่องจากทรัพย์สินดังกล่าวประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สังหาริมทรัพย์ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว (เพิ่มเติม) จำนวน 46 รายการพร้อมดอกผลดังกล่าว ที่ ย.176/2567 ลงวันที่ 18 ก.ย. 67 ดังนี้ รวมทรัพย์สินที่อายัดทั้งสิ้นจำนวน 44 รายการ รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 18,296,730.83 บาท พร้อมดอกผล และรวมทรัพย์สินที่ยึดและอายัดทั้งสิ้น จำนวน 46 รายการ รวมราคาประเมินจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 46,138,730.83 บาท พร้อมดอกผล อย่างไรก็ตาม ทำให้ทราบว่าในรายคดีของนายชัยณัฐร์ หรือตู้ห่าว และพวก คณะกรรมการธุรกรรมได้มีการออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินตามกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 รวมทั้งสิ้น 3 คำสั่ง รวมเป็นจำนวนราคาประเมินทั้งสิ้นประมาณ 117,922,350 บาท.