นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีข่าวเกี่ยวกับคดีของดาราสาว “แตงโม” มีหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา โทรศัพท์หานายพีระพันธุ์ และมีการพูดคุยกันประมาณ 10 นาที ว่า ตนเป็นคนทำงานการเมืองที่ต้องดูแลประชาชน จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนโทรฯ หาตลอดเวลา ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นคนที่มีปัญหาเดือดร้อน เมื่อมีสายโทรศัพท์เข้ามา ตนก็รับตลอด แต่ถ้ารับไม่ทัน ก็โทรฯ กลับไปเป็นเรื่องปกติ ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหานั้น ตนรู้จักในฐานะที่เขาเป็นคนทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์และเปิดอู่ซ่อม ในวันที่เกิดเหตุ เขาได้เล่าให้ฟังว่า เพื่อนของเขาประสบอุบัติเหตุตกน้ำ และขอคำแนะนำว่าเขาต้องทำอะไร ตนจึงบอกให้ไปแจ้งตำรวจเป็นอันดับแรก และหลังจากนั้น ตนก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้อีกเลย
“…สําหรับคุณปอ ที่เป็นประเด็นปัญหานะครับ ผมจะเรียนว่า ผมรู้จักเขาในฐานะที่เขาเป็นคนทําธุรกิจซื้อขายรถยนต์ แล้วก็เปิดอู่ซ่อม ผมเคยซื้อรถยนต์จากเขา แล้วก็ซ่อมรถกับเขามาก่อน เพราะฉะนั้นผมเลยรู้จัก แต่วันนั้นเขาไม่ได้มีคดีความอะไรนะครับ แม้แต่วันที่เกิดเหตุ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไร เมื่อมีคนโทรศัพท์มา ผมรับโทรศัพท์ไม่ทัน ผมก็โทรฯ กลับ ก็เป็นเรื่องปกติ พอผมโทรฯ กลับ คุณปอเขาบอกว่า เขาไปลงเรือกับเพื่อนๆ ปรากฏว่าเพื่อนเขาประสบอุบัติเหตุตกน้ำ เขาเองก็กำลังตกใจ พูดไม่ค่อยเข้าใจ ผมก็เลยบอกว่า ค่อย ๆ เล่า เรียบเรียงเหตุการณ์สิ พอเขาเรียบเรียงเหตุการณ์มาเสร็จ เขาก็ถามผมว่าเขาต้องทําอย่างไร ผมก็บอกว่าสิ่งที่คุณต้องทําอันดับแรก คือคุณก็ต้องไปแจ้งตํารวจ ไปที่สถานีตํารวจสักแห่งหนึ่งก็ได้ แล้วก็ไปเล่าให้เขาฟัง จุดเกิดเหตุอยู่ไหน แล้วจะต้องทําอย่างไร ไปแจ้งที่ตํารวจที่ สน. อะไรก็ว่ากันไปตามนั้น ก็เท่านี้ล่ะครับ ไม่ได้มีอะไร เขาโทรฯ หามาประมาณกี่โมง ผมจําไม่ได้หรอก มันสามปีแล้วมั้ง แต่เป็นกลางคืนอย่างนี้แหละ สําหรับผมมันเรื่องปกติ เพราะชาวบ้านก็ดี ใครก็ดี โทรฯ มาหาผมตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประเด็นมันมีเท่านี้…” นายพีระพันธุ์ กล่าวและเผยต่อไปว่า
ทั้งนี้ แล้ววันนั้น เราก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเหตุ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นผู้ประสบเหตุ เพราะเขาไม่ได้บอกผม แต่ถึงบอกผมก็ไม่รู้จัก เพราะผมเป็นคนไม่รู้จักดาราเลย มารู้อีกทีที่เป็นข่าววันรุ่งขึ้น แล้วผมก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขา คดีความเขาเป็นอะไร เราก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว ไม่เคยไปให้คําแนะนําทางกฎหมาย หรือว่าไปช่วยเหลืออะไรเลย…ก่อนที่เขาจะเกิดเหตุเป็นข่าวขึ้นมา เขาก็เป็นคนทําธุรกิจที่เรารู้จักธรรมดา ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องไปเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ผมเชื่อว่าวันนั้น เขาคงไม่ได้โทรฯ หาผมคนเดียวหรอก แต่ทําไมต้องเอาผมอ้างขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ผมยึดหลักความยุติธรรมที่ตนยึดมั่นมาตลอด เราไม่มีวันรู้หรอกว่าใครจะโทรฯ หาเรา และเราก็ไม่มีวันรู้หรอกว่า แต่ละคนที่เรารู้จัก เขาไปเกิดเหตุอะไร แต่ถ้าใครทําอะไรผิด ผมไม่เคยช่วย ไปเช็กประวัติผมดูได้นะครับ ถ้าผิดก็ว่าไปตามผิดอยู่แล้ว แต่ที่สําคัญคือผมจะไปเกี่ยวอะไรกับเขา ในเมื่อคดีนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผม แล้วผมจะต้องเอาหน้าที่การงานผมไปเสี่ยงเพื่ออะไร อย่าว่าแต่คุณปอเลย แม้แต่ตัวผมเอง เกิดเรื่องอะไร ก็ไม่เคยใช้ตําแหน่งหน้าที่ไปทําอะไรให้จากผิดเป็นถูก ผิดก็ต้องยอมรับผิดนะครับ ผมเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว คนที่รู้จักผมจะรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นยังไง เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่กรณีนี้เลยครับ ไม่ว่ากรณีไหน ผมไม่เคยเข้าไปช่วยคนที่ทําผิด