เมื่อวันที่ 14 ก.พ. นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ผลประกอบการ 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.-ธ.ค. 67) ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 17,906.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.41% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีกําไรสุทธิรวม 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท คิดเป็น 17.12% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของจํานวนเที่ยวบิน และผู้โดยสาร 6 ท่าอากาศยานของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) 

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยาน หาดใหญ่ (ทหญ.) ซึ่งมีผู้โดยสารมาใช้บริการรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน และภายในประเทศ 12.77 ล้านคน ขณะที่มีจํานวนเที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78% แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 117,333 เที่ยวบิน และภายในประเทศ 87,216 เที่ยวบิน โดยคาดการณ์ปี 2568 จะมีปริมาณผู้โดยสารประมาณ 130 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 10%

นายกีรติ กล่าวต่อว่า ทอท. ยังคงตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค และเชื่อมโยงการเดินทางทางอากาศแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการยกระดับท่าอากาศยานของไทยให้เป็น 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี และเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดเป็น 1 ใน 10 ของโลก และสามารถแข่งขันใน ระดับสากลได้อย่างยั่งยืน โดยในปี 2568 มีแผนจะเปิดประกวดราคาโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ทสภ. โดยอยู่ในขั้นตอนการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบปรับวงเงินการก่อสร้าง จากประมาณ 9 พันล้านบาท เป็นประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากพื้นที่การก่อสร้าง และงานระบบเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะเปิดประมูลในเดือน พ.ค. 68 นอกจากนี้ประมาณเดือน ธ.ค. 68 จะเปิดประมูลโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ระยะที่ 3 วงเงินประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาทด้วย

นายกีรติ ยังกล่าวถึงปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ใน ทสภ. ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ด้วยว่า ยืนยันว่าไม่กระทบกับรายได้ของ ทอท. เพราะบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ยังคงจ่าย แต่จ่ายช้าหน่อย ทอท. ก็ยังรับรายได้เท่าเดิม และอาจจะมากขึ้นจากการเรียกเก็บค่าปรับเป็นดอกเบี้ยตามสัญญาประมาณ 18% ของยอดเงินที่ผิดนัดชำระ โดยขณะนี้ ทอท. มียอดที่ลูกหนี้ค้างจ่ายอยู่ประมาณ 5 พันล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นของ คิง เพาเวอร์ ประมาณ 4 พันล้านบาท โดยได้เริ่มปรับมาตั้งแต่เดือน ส.ค. 67 อย่างไรก็ตาม เอกชนมีการเจรจาขอให้ลดค่าปรับลงซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. เมื่อเดือน ม.ค. 68 มีมติให้ปรับลดใช้เกณฑ์อัตราดอกเบี้ย MLR+2% หรือประมาณ 9% ซึ่งยังสูงกว่าต้นทุนทางการเงินของ ทอท. ที่อยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี โดยได้เริ่มปรับอัตราใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค. 68 

นายกีรติ กล่าวอีกว่า ทอท. จะไม่มีการแก้ไขสัญญาใดๆ และจะไม่มีการลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ที่ต้องให้กับ ทอท. โดยตามสัญญาระบุว่า ทอท. จะเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือน ในอัตรา 20% ของยอดรายได้จากการประกอบกิจการในรอบเดือนนั้นๆ ก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับรายใดรายหนึ่ง จะใช้เกณฑ์ปรับโครงสร้างหนี้กับเอกชนทุกราย ซึ่งในกรณีของคิงเพาเวอร์ ยังมีการวางแบงก์การันตีจำนวนหนึ่ง ซึ่ง ทอท. สามารถยึดเงินส่วนนี้หากไม่สามารถเรียกเก็บหนี้กับคิงเพาเวอร์ได้.