เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 68 นายคารม พลพรกลาง สมาชิกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะนักกฎหมาย แสดงความเห็นทางกฎหมายกรณีที่มีกลุ่มผู้สมัคร สว. ที่ไม่ได้รับเลือก ไปยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยอ้างว่าการเลือก สว. มีการฮั้วกัน และมีแนวโน้มว่า จะรับเป็นคดีพิเศษนั้น ในเรื่องนี้ต้องรับว่าเป็นเรื่องใหญ่และเป็นประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจมาก เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นในปี 2545 นั้น โดยมีเจตนาเพื่อเป็นพนักงานสอบสวนในคดีอาญาในคดีอาชญากรรมที่มีผลกระทบเศรษฐกิจ มีการกระทำความผิดที่ซับซ้อน เป็นเครือข่ายอาชญากรรมเดิมนั้น เดิมผู้ที่ทำหน้าที่สอบสวนคดีอาญาทุกประเภท คือพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นายคารม กล่าวต่อว่า จาก พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ นั้น กำหนดให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษสังกัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง มี รมว.ยุติธรรม เป็นผู้กำกับ เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ในการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น จะเห็นว่าต้องการให้มีพนักงานสอนสวนในคดีอาญาที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าคดีอาญาทั่วไป แต่ไม่น่าจะรวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องรัฐธรรมนูญ ที่ระบุไว้เฉพาะ และข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นเพียงพนักงานสอบสวน เหมือนพนักงานสอบสวนคดีอาญาทั่วไป การฟ้องคดีจึงต้องส่งผ่านพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามปกติของการฟ้องคดี
นายคารม กล่าวว่า ส่วน สว. เป็นผู้ที่มาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 มาตรา 107 ถึง 113 การเลือกตั้งหรือการสรรหา สว. เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และคนรับรองสมาชิกวุฒิสภา คือกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
นายคารม กล่าวว่า การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะนัดประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 25 ก.พ. นี้ เพื่อพิจารณาว่าจะรับคดีที่มีผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง สว. แต่ไม่ได้รับเลือกมาร้องและอ้างว่าการเลือกตั้ง เป็นไปโดยไม่ชอบนั้น จึงมีคำถามทางกฎหมาย ว่า 1.แม้ รมว.ยุติธรรม จะบอกว่าอาจรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา สามารถทำได้เพราะถือกฎหมายคนละฉบับ แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งและละเอียดแล้ว การพ้นตำแหน่งของ สว. ภายหลังจาก กกต. รับรองแล้ว ย่อมเป็นไปตาม มาตรา 111 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แม้กรมสอบสวนคดีพิเศษจะมีการดำเนินคดี ก็อาจทำได้เฉพาะบุคคล แต่แม้จะดำเนินคดีอาญาเฉพาะบุคคล ในสมัยประชุม ก็ต้องขออำนาจจากสภา หากจะจับกุม คุมขังในสมัยการประชุมสภา ก็ไม่อาจทำได้
นายคารม กล่าวต่อว่า 2.คดีที่อ้างว่าการเลือกตั้ง สว. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ กกต. ได้รับรองและยืนยันแล้วว่าไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามคำกล่าวหา หรือคำร้อง และ กกต. เป็นองค์กรที่จัดการเลือกตั้ง ได้รับรองแล้ว แต่หากกรมสอบสวนคดีพิเศษจะรับเป็นคดีพิเศษ และให้มีการดำเนินคดีอาญากับ สว. จะถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
นายคมรม กล่าวต่อว่า 3. การที่ รมว.ยุติธรรม อ้างว่ามี สว. จำนวนถึง 138 คน และกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดี จนต้องพ้นตำแหน่งทั้ง 138 คน ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สว. ดังนั้น ก็ต้องมีการเลือก สว. ขึ้นใหม่ เพื่อให้ครบ 200 คน ถึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 ย่อมแปลได้ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถล้มการเลือก สว. ได้ ทั้งที่ สว. มาตามรัฐธรรมนูญ
นายคารม กลาวต่อว่า 4.การที่ รมว.ยุติธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร และเป็นผู้บังคับบัญชากรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเพียง พ.ร.บ. และมีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ มาดำเนินการ ซึ่งหากเป็นไปตามที่มีผู้สมัคร สว. ที่ไม่รับการเลือกตั้งร้องมา ก็อาจทำให้ สว. ต้องหลุดไป หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ถึง 138 คนนั้น ถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ และมีผลอย่างไร หรือเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญาทั่วไป
“ประเด็นเรื่องนี้ จึงเป็นประเด็นที่สำคัญทางกฎหมายอย่างยิ่ง สามารถนำเอาไปทำวิทยานิพนธ์ได้เลย เพราะเป็นการใช้อำนาจขององค์กรทางการบริหาร มาล้มล้างฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ดูสุ่มเสี่ยงว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และอาจเป็นจุดจบของฝ่ายนิติบัญญัติ หากกรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถทำได้ เพราะถ้าตรวจสอบ สว. จนต้องหลุดไป ทั้งที่ กกต. รับรองไปแล้ว ต่อไปก็จะมีการตรวจสอบ สส. ได้เช่นกัน โดยมีการอ้างว่า มีการฮั้วการเลือกตั้ง อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็จะใหญ่กว่าอำนาจของประชาชน ผมเชื่อว่าเจตนารมณ์ของกฎหมาย ตอนร่างขึ้นไม่น่าจะเป็นแบบนี้” นายคารม กล่าว.