อาจารย์ นายแพทย์อาลันณ์ จันท์จารุณี สาขาวิชาโรคทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องท้องเสียไว้ว่า
ท้องเสีย ปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีการระบาดของเชื้อโรค การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ ประเภท และวิธีการรักษาท้องเสียจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะแทรกซ้อน ในบทความนี้เราจะเจาะลึกถึงอาการท้องเสียอย่างละเอียด พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการดูแลรักษาและป้องกันอาการท้องเสีย
ท้องเสีย คืออะไร
ท้องเสีย (diarrhea) คือ ภาวะที่ร่างกายถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำบ่อยครั้งกว่าปกติ ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ในบางกรณีอาจมาพร้อมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไข้ และอ่อนเพลียเนื่องจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ อาการท้องเสียสามารถแบ่งออกเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ท้องเสียเบา ๆ จนถึงท้องเสียรุนแรงที่อาจส่งผลให้เกิดการขาดน้ำและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ

อาการ ท้องเสีย เป็นอย่างไร?
- ปวดท้อง
- ท้องอืด มีลมในลำไส้
- ถ่ายอุจจาระเหลวและถ่ายบ่อย (มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน)
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีเสียงท้องร้องจากการบีบตัวในกระเพาะอาหาร
ท้องเสียเกิดจากอะไร
สาเหตุของอาการท้องเสียมีหลายปัจจัย ตั้งแต่การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ไปจนถึงพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น
- ติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสโรต้า (rotavirus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในเด็กเล็กและทารก โรตาไวรัสสามารถทำให้เกิดการอักเสบในลำไส้และทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ได้อย่างรวดเร็ว หรือนอร์ไวรัส (norovirus) มักเป็นสาเหตุของท้องเสียในผู้ใหญ่และสามารถแพร่กระจายได้ง่ายในสภาพแวดล้อมที่มีคนหนาแน่น เช่น โรงพยาบาลหรือโรงเรียน
- ติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น อีโคไล (escherichia coli) บางสายพันธุ์ของอีโคไลสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารและนำไปสู่ท้องเสียรุนแรง หรือซัลโมเนลลา (salmonella) พบในอาหารที่ไม่สุกหรือปราศจากการปรุงสุกอย่างเพียงพอ เช่น ไก่ เนื้อวัว และไข่
- รับประทานอาหารที่มีรสจัด หรืออาหารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- แพ้อาหาร เช่น นม หรืออาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้
- ใช้ยาบางประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะ
ท้องเสีย มีกี่แบบ
ท้องเสียสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักตามระยะเวลาและความรุนแรง ดังนี้
ท้องเสียแบบเฉียบพลัน (acute diarrhea)
ท้องเสียแบบเฉียบพลันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมักมีระยะเวลาสั้น ปกติจะหายไปภายในไม่กี่วัน สาเหตุส่วนใหญ่คือการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจากอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด

ท้องเสียแบบต่อเนื่อง (persistent diarrhea)
ท้องเสียแบบต่อเนื่องเกิดขึ้นในระยะกลาง ระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 4 สัปดาห์ อาจเกิดจากการติดเชื้อที่ไม่หายไปด้วยการรักษาที่ไม่ถูกต้อง หรือจากโรคลำไส้อักเสบบางชนิด
ท้องเสียแบบเรื้อรัง (chronic diarrhea)
ท้องเสียแบบเรื้อรังเกิดขึ้นต่อเนื่องนานเกินกว่า 4 สัปดาห์ สาเหตุมักมาจากโรคลำไส้อักเสบ โรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือภาวะทางโภชนาการที่ไม่สมดุล
ทำไมท้องเสียห้ามดื่มนม
เมื่อมีอาการท้องเสียควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม เช่น เนย ไอศกรีม ชีส เพราะในนมมักมีส่วนประกอบของน้ำตาลที่ชื่อว่า แลคโตส (lactose) โดยหากเกิดอาการท้องเสียจะทำให้เซลล์ที่ผนังลำไส้มีความบกพร่องในการสร้างเอนไซม์ที่ชื่อว่า แลคเตส ที่มีไว้ย่อยน้ำตาลแลคโตส ทำให้น้ำตาลไม่ถูกย่อยและหมักจนเกิดเป็นลม ท้องอืด และยิ่งทำให้ถ่ายเหลวมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการดื่มนมอาจทำให้อาการท้องเสียแย่ลงได้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ท้องเสีย ทำไมห้าม ดื่มนม ?
ท้องเสียอันตรายถึงชีวิตหรือไม่
ท้องเสียสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อันตรายหลักมาจากการขาดน้ำและเกลือแร่ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำเฉียบพลัน (dehydration) ซึ่งสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการขาดน้ำได้แก่ รู้สึกกระหายมาก ปากแห้ง ผิวหนังหย่อนคล้อย หน้ามืดหรือเป็นลม หากมีอาการท้องเสียรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์

วิธีการ รักษาอาการท้องเสีย
อาการท้องเสียระยะสั้นมักหายได้เองและมีอาการที่ไม่รุนแรง จึงมีวิธีแก้ท้องเสียและสามารถดูแลตัวเองในเบื้องต้นได้ ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำสะอาดและเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีนมเป็นส่วนประกอบ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
- รับประทานอาหารอ่อน เน้นการรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
ผงน้ำตาลเกลือแร่รักษาอาการท้องเสีย คือ
ผงน้ำตาลเกลือแร่ ORS (oral rehydration salts) เป็นสารละลายที่ประกอบด้วยน้ำตาลและเกลือที่ใช้ในการเติมน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการท้องเสีย ช่วยป้องกันและรักษาภาวะขาดน้ำและอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
วิธีผสมผงน้ำตาลเกลือแร่ ORS สำหรับผู้มีอาการท้องเสีย
- ใช้ภาชนะที่สะอาดและปราศจากสิ่งสกปรก ควรใช้น้ำที่ผ่านการกรองหรือต้มสุก เทน้ำสะอาด โดยใช้ปริมาณน้ำประมาณ 150-200 cc หรือสามารถดูปริมาณน้ำได้จากข้างซองเกลือแร่
- ใส่ผงน้ำตาลเกลือแร่ตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์
- ใช้ช้อนคนให้ผงน้ำตาลเกลือแร่ละลายหมดในน้ำจนไม่มีผงค้างอยู่ด้านล่าง
- ควรดื่มน้ำเกลือแร่แบบค่อยจิบ
- และควรดื่มให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงหลัง

การป้องกันอาการท้องเสีย
การป้องกันอาการท้องเสียเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพและภาวะขาดน้ำที่อาจรุนแรง ต่อไปนี้คือวิธีการป้องกันที่สามารถทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
1. รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- พกเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือเมื่อไม่มีน้ำสะอาด
2. รับประทานอาหารที่สะอาดและปลอดภัย
- เลือกอาหารที่ปรุงสุกใหม่และผ่านความร้อนเพียงพอ
- หลีกเลี่ยงอาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น อาหารทะเลดิบและสเต็กที่ไม่สุกเต็มที่
3. ดื่มน้ำสะอาด
- เลือกดื่มน้ำที่ผ่านการกรองหรือต้มสุกแล้วเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงน้ำแข็งที่อาจมาจากแหล่งน้ำไม่สะอาด
4. หลีกเลี่ยงอาหารเสี่ยงและไม่รู้แหล่งที่มา
- หลีกเลี่ยงอาหารข้างทางที่อาจมีสิ่งปนเปื้อน
- ระวังอาหารที่มีส่วนผสมของนมหรือไข่ดิบ ซึ่งอาจเสื่อมสภาพได้ง่าย
5. จัดเก็บอาหารอย่างเหมาะสม
- เก็บอาหารที่เน่าเสียง่ายในตู้เย็นเสมอ
- หลีกเลี่ยงการทิ้งอาหารไว้นอกตู้เย็นนานเกินไป
ท้องเสีย เป็นอาการที่พบได้บ่อยและสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ การรู้จักอาการ ทราบถึงสาเหตุและประเภทของท้องเสีย รวมถึงวิธีการรักษาและป้องกันที่ถูกต้อง สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การรักษาความสะอาดส่วนบุคคลและการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันท้องเสีย นอกจากนี้ การใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ (ORS) อย่างถูกต้องยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการท้องเสียและป้องกันการขาดน้ำ เมื่อมีอาการท้องเสีย ควรปรึกษาแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีความรุนแรง เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและทันเวลา