สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ว่าหลังข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เมื่อปี 2560 สั่งให้สมาชิกสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ผลักดันลูกจ้างสัญชาติเกาหลีเหนือกลับประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลเปียงยางหารายได้จากเงินตราต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้กับโครงการพัฒนานิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างสูงนั้น

ทางการเกาหลีเหนือจึงพยายามหารายได้เข้าประเทศ ด้วยการต้องละเมิดมาตรการคว่ำบาตร ผ่านการส่งประชาชนไปทำงานในจีนหรือรัสเซีย

มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (อีเจเอฟ) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร รายงานว่า พบการละเมิดแรงงานชาวเกาหลีเหนือบนเรืออย่างแพร่หลาย โดยพวกเขาถูกบังคับให้ทำงานในทะเลนานถึง 10 ปี และในบางกรณีก็ไม่เคยได้กลับมาเหยียบบนแผ่นดินเลย

https://twitter.com/hkfp/status/1893968605290643463

รายงานดังกล่าวอ้างอิงจาก การสัมภาษณ์ลูกเรือชาวอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มากกว่า 12 คน ซึ่งทำงานบนเรือประมงลากเส้นจับทูน่าของจีน ที่ลอยลำอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ระหว่างปี 2562-2567 ลูกเรือรายหนึ่งระบุว่า “พวกเขาไม่เคยติดต่อกับภรรยาหรือใครเลยขณะอยู่บนเรือ เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้พกโทรศัพท์มือถือ” และชาวเกาหลีเหนือบางคน “ทำงานบนเรือลำนี้นาน 7-8 ปี” เนื่องจากรัฐบาลไม่อนุญาตให้กลับบ้าน

มากไปกว่านั้น รายงานระบุว่า เรือเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแล่ครีบฉลามและจับสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เช่น โลมา โดยอาจมีตลาดอยู่ในสหภาพยุโรป (อียู) สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐเปิดเผยว่า มีชาวเกาหลีเหนือประมาณ 20,000-100,000 คนทำงานในจีน โดยส่วนใหญ่ทำงานในร้านอาหารและโรงงาน ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้รายงานว่า แรงงานเกาหลีเหนือในต่างประเทศจะถูกหักค่าจ้างสูงถึง 90% และถูกบังคับใช้แรงงาน.

เครดิตภาพ : AFP