วันที่ 24 มี.ค. มีการประชุมสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151  “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร เดินทางมาถึงสภาแต่เช้าด้วยสีหน้าแจ่มใส และบอกว่า ได้พูดคุยเรื่องอภิปรายกับ “อดีตนายกฯ แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร มาบ้าง อีกทั้งอดีตนายกฯ แม้วก็โทรฯ มาให้กำลังใจ

เมื่อเริ่มอภิปราย “หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวเปิดญัตติถึงความล้มเหลวของนายกฯ อิ๊งค์ด้านต่างๆ และยังเย้ยไปถึงว่า พรรคเพื่อไทยไม่ยอมรับว่าสมัยไทยรักไทยได้รับประโยชน์จากปัจจัยภายนอก ไม่ได้เก่งด้วยตัวเอง  วิกฤติต้มยำกุ้งได้นโยบายที่กองอยู่บนโต๊ะไปสานต่อ เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การกระจายเม็ดเงินสู่รากหญ้า เงินบาทอ่อนตัวช่วยให้การส่งออกโตก้าวกระโดด  พรรคเพื่อไทยมีผู้นำนอกระบบที่ทำงานนอกทำเนียบ เป็นคนชี้นำวาระเป็นคนให้ข้อมูลให้นโยบายนำหน้ารัฐบาล โดยปราศจากความรับผิดชอบใด 6 เดือนที่ผ่านมา นายกฯ ผลักดันให้แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง  

“ดีลแลกประเทศ มีคนไม่ถึง1% ได้รับผลประโยชน์ ทำลายระบบนิติรัฐ นิติธรรม เป็นรัฐบาลที่ตกต่ำยิ่งกว่ารัฐบาลของ คสช. อนาคตมีสิ่งที่ประเทศไทยต้องจ่ายมหาศาล สิ่งที่เราได้รับคือ พวกเราอ่อนแอ ไม่กล้าหวังอนาคตที่ดีกว่า ทั้งนี้การจัดตั้งรัฐบาลของดีลแลกประเทศ ทำให้ได้ พรรคร่วมคณะรัฐประหาร หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จึงไม่อาจไว้วางใจได้”

จากนั้น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายว่า  การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลล้มเหลว ประชาชนเกิดปัญหาหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นถึง 104%  ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ตลาดหุ้นดำดิ่งในรอบ 3 ปี แต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉยไม่มีมาตรการใดๆ มาแก้ปัญหาปากท้อง เห็นว่านายกฯ เคยบริหารงานธุรกิจมาก่อน ก็คงมีประสบการณ์ที่จะช่วยประเทศชาติได้บ้าง แต่ปรากฏว่ากลับไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ซ้ำยังถอยหลัง จนจีดีพีประเทศไทยรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน

“ตัดสินใจผิดพลาดขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการตัดงบประมาณนับแสนล้าน ที่ควรอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจ  แต่นายกรัฐมนตรีกลับนำเงินก้อนดังกล่าวไปแจกในโครงการเงินหมื่น ซึ่งธนาคารโลกและกองทุนไอเอ็มเอฟได้มีการออกมาเตือนว่าการแจกเงินหมื่นนั้นไม่ได้ผล แต่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ แทน”    

หลังอภิปราย พล.อ.ประวิตรออกนอกห้องประชุมทันที นายกฯ อิ๊งค์ ลุกขึ้นตอบ พล.อ.ประวิตร ว่า “สำหรับสมาชิกหัวหน้าพรรค พปชร.ผู้อาวุโส เมื่อสักครู่ได้ฟังการอภิปราย ท่านพูดประมาณ 10 นาที อยากบอกว่าที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่นี้ว่า ไม่เป็นความจริง” น.ส.แพทองธาร ใช้เวลาชี้แจงสั้นๆ แค่ 30 วินาทีเท่านั้น

จากนั้น พรรค ปชน.จัด “ตัวแทงก์” คือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. อภิปรายว่า นายกฯ กระทำการขัดต่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) ที่ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมาตรา 50 (9) กำหนดให้บุคคลต้องเสียภาษี น.ส.แพทองธารใช้ช่องว่างทางกฎหมายทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษี  จากรายการบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. น.ส.แพทองธารเป็นลูกหนี้ 9 รายการ มูลค่าหนี้สิน 4,434.5 ล้านบาท  หลักฐานคือตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตั๋วพีเอ็น (PN) ซึ่งเป็นหนี้สินที่ น.ส.แพทองธารซื้อหุ้นจากแม่ พี่สาว พี่ชาย ลุง และป้าสะใภ้  

“ตั๋วมีเงื่อนไขที่ให้ชำระค่าซื้อหุ้นต่อเมื่อมีการทวงถาม และไม่มีดอกเบี้ย จึงไม่ได้กำหนดว่า น.ส.แพทองธารต้องจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นเมื่อไร น่าสงสัยว่า เป็นการใช้ตั๋วพีเอ็นทำนิติกรรมอำพราง ทำธุรกรรมการซื้อปลอม เพื่อตบตาการได้หุ้นจากการให้มา เป็นการซื้อหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้  เป็นเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท อีกทั้งยังทำให้แม่ พี่สาว พี่ชาย ลุง และป้าสะใภ้ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาแม้แต่บาทเดียว หากขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ให้ น.ส.แพทองธารในราคาพาร์  จะยื่นเรื่องนี้ให้อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบต่อไป

ในช่วงนี้ เกิดการประท้วงกันอย่างมาก นายวิโรจน์จิกกัดผู้ประท้วงว่า “ร้องกี้..กี้ สัก 2-3 ครั้งได้หรือไม่” จน นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ประธานในที่ประชุมขณะนั้น ถามว่า “กี้ กี้ แปลว่าอะไร” นายวิโรจน์ตอบว่าไม่มีความหมาย  แต่ไปโพสต์ใน X ว่า “หลายคนไม่ได้ประท้วง แค่ดาหน้าออกมาพลีชีพ เหมือนลูกสมุนของขบวนการช็อคเกอร์ ที่เวลาออกมาจะร้อง กี้… กี้… เพื่อให้มดแดงซ้อมเล่น คั่นเวลาก่อนไรเดอร์คิกปีศาจตัวบอส  อธิบายไปเขาก็ไม่ฟังหรอกครับ เพราะเขามาพลีชีพ ตอบไปสั้นๆ แค่ กี้ กี้ ก็พอครับ จะได้ไม่เสียเวลา”

“สส.บิ๊ก” ชัชวาล แพทยาไทย  สส.ร้อยเอ็ด เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.)  อภิปรายโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า ส่อว่ารัฐบาลเตรียมประเคนทรัพย์สินภาครัฐเพื่อประโยชน์แก่เอกชน เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2568 ที่มีการประชุมสภา พิจารณา ร่างพ.ร.บ.การท่าเรือแห่งประเทศไทย โดย ครม. เป็นผู้เสนอ เป็นการปูทางเอื้อต่อธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรหรือไม่ เพราะในมาตรา 8 (3) และ มาตรา 9 (12) ได้เพิ่มสาระสำคัญให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยดำเนินธุรกิจนอกเหนือจากกิจการของการท่าเรือได้  การท่าเรือยังได้เปิดแผนผังพัฒนาท่าเรือคลองเตย บนพื้นที่ 2,353 ไร่ จัดโซนนิ่งสร้าง Smart City, Smart port, Smart community พร้อมรับนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

การแก้ พ.ร.บ.การท่าเรือครั้งนี้เพื่อรองรับโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นี่เป็นการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการใช้อสังหาริมทรัพย์ของรัฐ และเตรียมการใช้งบประมาณพัฒนาอสังหาฯ เพื่อประโยชน์ในโครงการดังกล่าว นายกฯ ยังไม่สนใจคำเตือนจากประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ว่า หากไทยเดินหน้ากาสิโนอาจมีปัญหามาก  

นายอิทธิพล ชลธนาศิริ สส.ขอนแก่น พรรค ปชน.อภิปรายเรื่องเหมืองทองอัครา โดยยกการอภิปรายของ น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย  รมต.ประจำสำนักนายกฯ เมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้านและได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องเหมืองทองอัครา ว่า เรื่องดังกล่าวพรรคเพื่อไทยรู้อยู่ว่าผิดกฎหมายตั้งแต่เป็นฝ่ายค้าน แต่ปัจจุบันเป็นรัฐบาลกลับไม่แก้ไขหรือเพิกถอนใบอนุญาตการให้ทำเหมืองแร่ผิดกฎหมายในแหล่งสุบรรณ และแหล่งโชคดี ใน อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก  มันเป็นดีลจัดตั้งรัฐบาลกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

ต่อมา นายกฯ อิ๊งค์ ลุกขึ้นชี้แจงตอนหนึ่งว่า “ที่กล่าวหาว่าดิฉันหนีภาษีไม่เป็นความจริง  ถึงแม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจว่าดิฉันเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอน  เรื่องหุ้น  มีการยื่นคำร้องเรื่องการตรวจสอบความถูกต้อง ยังอยู่ในกระบวนการของ ป.ป.ช. ดิฉันยินดีให้ความร่วมมือทุกประการ และที่ดินทุกแปลงทุกตารางวาที่ดิฉันและครอบครัวถือครองมีออกโฉนดโดยรัฐทั้งหมด  เรื่องการใช้ตั๋ว PN การซื้อขายบางรายการไม่มีการเสียภาษี เนื่องจากยังไม่มีการชำระเงิน และยังไม่ทราบจำนวน จึงยังเสียภาษีไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของดิฉันและครอบครัว ไม่มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ”

“ณ เวลาซื้อขายหุ้น ไม่ได้มีความพร้อมที่จะชำระค่าหุ้นด้วยเงินสด จึงทำตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน ซึ่งได้แสดงไว้บัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว วางแผนที่จะชำระด้วยโดยรอบแรกจะเกิดขึ้นภายในปีหน้า ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

นายกฯ ยืนยันว่า ตอนได้ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์มา ได้มาด้วยความถูกต้อง ซื้อที่ที่ออกโฉนดโดยรัฐ  และทิ้งท้ายว่า เราเป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมที่จะรับฟัง ใครหรือผลงานที่ทำประโยชน์ต่อประชาชนก็ควรจะชื่นชมบ้าง จะได้เป็นกำลังใจในการทำงานด้วย  มั่นใจว่าทุกคนหวังดีกับประเทศไทย  ผู้มีวุฒิภาวะไม่ควรพูดให้เกิดความเกลียดชังแตกแยก

หลังจากอภิปรายไปได้ระยะหนึ่ง นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  การอภิปรายในครั้งนี้หากเทียบในครั้งที่ผ่านมายังไม่มีความหนักแน่นพอ โดยมีการอภิปรายที่ดูเป็นรูปธรรมคือของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร  เรื่องภาษี เป็นรายละเอียดที่ต้องไปศึกษาอีกครั้ง ที่นายกฯ ชี้แจง พล.อ.ประวิตรสั้นๆ น่าจะเป็นมุกเพื่อให้คลายเครียด  เป็นการย้อนศรเพื่อทำให้ทุกคนผ่อนคลายและสนุก แต่ในเรื่องการตอบแบบจริงจัง คงจะมีการที่แจ้งอีกครั้ง

การอภิปรายต่อจากนั้น จะโฟกัสไปที่เรื่องค่าไฟฟ้า  “สส.เติ้ล” วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน.อภิปรายว่า  นายกฯเดินหน้าสานต่อรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนระยะ 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์ แม้โครงการนี้จะชะลอมา 3 เดือนแล้ว  แต่อาจรอให้ข่าวเงียบแล้วค่อยลงนามในสัญญาซื้อขายกับเอกชน การรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ไม่มีการประมูลแข่งขันราคา เพราะมีการกำหนดราคารับซื้อไว้แล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีอนาคต คำนวณแล้วจะทำให้ค่าไฟของประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนล้านบาท  

“การรับซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์ ยังซ้ำซ้อนกับการเปิดเสรีไฟฟ้าสะอาด 2,000 เมกะวัตต์ของรัฐบาลเอง ที่อนุมัติก่อนหน้าไปแล้วในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ช่วงเดือน มิ.ย. 2567  ประเทศไทยปัจจุบัน มีโรงไฟฟ้าเอกชนที่ผลิตไฟฟ้าล้นเกินความจำเป็นอยู่แล้ว หากรัฐรับซื้อไฟฟ้าที่เอกชนผลิตเกินความต้องการจริง  ราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องแบกรับก็จะมาหารใส่ในบิลค่าไฟของประชาชนทุกครัวเรือน  กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยังไม่ประกาศว่า หลักเกณฑ์ในการให้คะแนนเทคนิคเพื่อเลือกโรงไฟฟ้าคืออะไร เปิดให้ใช้ดุลพินิจแบบจิ้มเลือก 

“รัฐบาลเร่งรีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกลุ่มทุนพลังงานที่ใกล้ชิดกับครอบครัวนายกฯ  เรียกร้องให้รัฐบาลแพทองธารยกเลิกโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟส 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์ และเร่งรัดการเปิดเสรีพลังงานสะอาด (Direct PPA) พร้อมขอให้ยกเลิกการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก รอบ 5,200 เมกะวัตต์ ในส่วนที่ยังไม่ได้ลงนามด้วย”  สส.เติ้ล กล่าว  ซึ่ง “รองตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ยืนยันว่า รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องค่าไฟฟ้าแพง และเรื่องค่าไฟฟ้าไม่ได้เอื้อต่อใคร.