สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ว่าทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ว่ามาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือภาษีตอบโต้ ซึ่งสหรัฐต้องการใช้กับคู่ค้าในเกือบ 60 ประเทศและดินแดน มีผลแล้ว เมื่อเวลา 00.01 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันพุธ (11.01 น. ตามเวลาในประเทศไทย) โดยไทยเผชิญกับอัตราเรียกเก็บ 36%
ทั้งนี้ จีนเผชิญกับอัตราภาษีต่างตอบแทนสูงที่สุด คือ 104% แบ่งเป็น 20% ที่มีการประกาศตั้งแต่เดือน ก.พ. ตามด้วยอีก 34% ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา และอีก 50% ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันจันทร์ จากการที่จีนขึ้นภาษีตอบโต้อีก 34% กับสินค้าทุกประเภทของสหรัฐ และยังออกมาตรการเพิ่มเติมอีกหลายชุด รวมถึงการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายาก และการระงับนำเข้าสินค้าเกษตรบางรายการ “อย่างเจาะจง” ซึ่งมาตรการส่วนใหญ่ของจีน มีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.
President Donald Trump’s so-called reciprocal tariffs are now in place, dealing a thunderous blow to the world economy as he pushes forward efforts to drastically reorder global trade. https://t.co/UG7dqwnbNB
— Bloomberg (@business) April 9, 2025
ขณะที่มีการวิเคราะห์ว่า ภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐครั้งนี้ น่าจะต้องการเล่นงานจีนเป็นหลักมากที่สุด โดยทรัมป์กล่าวว่า “การตัดสินใจนับจากนี้ขึ้นอยู่กับจีน” พร้อมทั้งกล่าวว่า “จีนต้องการเจรจา แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร” อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปักกิ่งประกาศแล้วว่า “จะสู้จนถึงที่สุด”
JUST IN: ???????????????? President Trump says China has "ripped us off left and right. But now it's our turn to do the rippin." pic.twitter.com/8IUPWMsU2c
— Watcher.Guru (@WatcherGuru) April 9, 2025
ด้านเจพี มอร์แกน วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดของโลกจากสหรัฐ เผยแพร่รายงานเตือนว่า โอกาสที่โลกจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพิ่มเป็น 60% เนื่องจากมาตรการภาษีตอบโต้มีผลบังคับใช้จริง จากการคาดการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งระบุแนวโน้มไว้ที่ 40%
ส่วนมูลนิธิภาษี ซึ่งเป็นองค์กรอิสระทางการเงินและภาษีของสหรัฐ คาดการณ์ว่า ครัวเรือนชาวอเมริกันอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2,100 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 73,167.14 บาท) ด้วยผลจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ที่ยังมีทั้งภาษีพื้นฐาน 10% กับทุกประเทศและดินแดนบนโลก ภาษีรถยนต์ 25% และภาษีอะลูมิเนียมและเหล็ก 25%
ทั้งนี้ทั้งนั้น ทรัมป์ขอให้ชาวอเมริกัน “อดทน” โดยยืนยันว่า เรื่องนี้จะส่งผลดีในระยะยาว นายเควิน แฮสเซตต์ ประธานสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐพร้อมเจรจาและรับฟังข้อเสนอ หรือ “การแลกเปลี่ยน” จากแต่ละประเทศ ว่าจะเป็นอย่างไร และผู้นำสหรัฐจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน ดังนั้น การเจรจาคงไม่อาจบรรลุผลได้ภายในเพียงไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์.
เครดิตภาพ : AFP