หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์“ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตราการสงครามการค้า ด้วยคำขวัญที่ว่า“Make America Great Again” หรือทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่โดนเอฟเฟคครั้งนี้ด้วย หลังถูกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าถึง 36%
ช่วงแรกรัฐบาลไทย ยังเมาหมัด มีอาการ งกๆเงิ่นๆ ไม่มีมาตรการอะไรออกมารองรับ ทำให้ตกเป็นเป้านิ่ง โดยฝ่ายค้านอย่าง “เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) แสดงความเป็นห่วง บอกให้ “นายกฯอิ๊งค์ ” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เร่งตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้น พร้อมกับจุดยืนทางการต่างประเทศ ยึดหลักประชาธิปไตย ไม่เลือกข้างสหรัฐฯ และ จีน
ขณะที่ “จิรายุ ห่วงทรัพย์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมายืนยันว่า “นายกฯอิ๊งค์” ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามมาตรการด้านการค้าสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
พร้อมทั้งยังได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว หรือเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา และคณะได้ประชุมหารือกันทุกสัปดาห์มาตั้งแต่เดือน ม.ค. ก่อนที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะรับตำแหน่ง
ล่าสุดรัฐบาลยังได้ตั้ง “ทีมไทยแลนด์” เพื่อเดินหน้าเจรจาพูดคุยกับสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง รวมถึง“พิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ และทีมงานที่มีการประชุมและวางยุทธ์ศาสตร์การเจรจา 5 หลักการที่สำคัญ
ได้แก่ ข้อ1 เป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่ไทยและสหรัฐฯ เกื้อหนุนกัน
ข้อ2 เปิดตลาดและลดภาษี ลดอุปสรรคทางการค้าตาม National Trade Estimate 2025 ของสหรัฐฯ ข้อ3 การเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ ในสินค้าที่ไทยจำเป็นต้องใช้ ไทยเตรียมพิจารณานำเข้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ และวัตถุดิบที่ภาคอุตสาหกรรมต้องใช้ แต่ผลิตไม่ได้เพียงพอ ข้อ 4 การตรวจสอบเพิ่มความเข้มงวดสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ป้องกันการสวมสิทธิ์จากประเทศที่สาม
ข้อ5 การส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ นอกจากนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ แล้ว ไทยยังมีแผนผลักดันให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปในสหรัฐฯ โดยใช้วัตถุดิบ ท้องถิ่น ผลิตสินค้าส่งออกจากฐานการผลิตในอเมริกาไปยังตลาดโลก
การเคลื่อนไหวนี้ ถูกมองว่า รัฐบาลทำงานล่าช้า ไม่ทันประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศสิงคโปร์ หรือ ประเทศเวียดนาม อาจเป็นเพราะ ทุกเรื่องสำคัญในประเทศไทย ต้องรอฟังคำสั่ง และทุบโต๊ะจาก ”ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย แต่คนการเมืองรับรู้ว่านี่คือ “นายกฯตัวจริง”
สอดรับกับความเคลื่อนไหว ที่ “อันวาร์ อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เดินทางมาที่ประเทศไทยในวันที่ 17 เม.ย. เพื่อหารือกับ “แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี” โดยหนึ่งในวาระหลัก คือแก้ปัญหากำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่เชื่อว่า สุดท้ายประเทศอาเซียน จะต้องมาร่วมมือกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง แทนที่จะต่อสู้กันโดยลำพัง
รวมถึงการเดินทางมาครั้งนี้ของผู้นำมาเลเซีย ได้พบ “ทักษิณ” ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียนด้วย เนื่องจากระยะหลังไม่สามารถขอเดินทางออกนอกประเทศได้สะดวก แต่ด้วยประสบการณ์ระดับนานาชาติ จึงทำให้ผู้นำมาเลเซียต้องมาหาด้วยตัวเอง
หลังจากก่อนหน้านี้ ได้โชว์ “คอนเนคชั่นระดับโลก“ ที่ประกาศว่า ประสานงานกับต่างประเทศด้วยตัวเอง เช่น การยกหูโทรศัพท์กับคนรอบข้างของ “ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์” เรื่องกำแพงภาษี พร้อมระบุว่า ให้เจ้าหน้าที่ไปคุยก่อน แต่ถ้ามีจังหวะก็จะเดินทางไปคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯด้วยตัวเอง
อีกทั้ง “ทักษิณ” ยังเล่นใหญ่โชว์บทบาท “นายกฯตัวจริง” พูดคุยกับ “พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย” ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อหาทางออกให้เกิดความสันติสุข และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามหลักสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
ฉะนั้นผลการเจรจาของ ”ทีมไทยแลนด์“ ที่ประเทศสหรัฐฯ รวมถึงบทบาทใน อาเซียน และประเทศ ไทย ที่ “ทักษิณ” จะรับอาสาเป็นผู้ประสานงาน หากทำสำเร็จได้ ถือเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสกับคนไทย และยังสร้างผลงาน รวมถึงคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลเพื่อไทยด้วย
แต่หากทำไม่ได้ นอกจาก “คำพูด”ที่เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป เหมือนนโยบายหาเสียง และอุดมการณ์ไม่ตรงปกแล้ว หนทางกอบกู้คะแนนพรรคค่ายแดงให้ฟื้นกลับมาเป็นทางเลือกหลัก ก็ริบหรี่เต็มทน