เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 22 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางนฤมล​ ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าธรรม​ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยยืนยันว่า นายกรัฐมนตรียังไม่ส่งสัญญาณการปรับ พร้อมยอมรับว่า กระแสส่วนใหญ่มาจากการวิจารณ์ของสื่อมวลชน

เมื่อถามว่าหากจะมีการปรับ ครม. จริง จะต้องมีการประสานไปยังหัวหน้าพรรค หรือ ร.อ.ธรรมนัส​ พรหมเผ่า​ ประธานที่ปรึกษาฯ นางนฤมล​ กล่าวว่า ก็ต้องคุยกันในพรรคทั้งหมด​ เพราะต้องเป็นมติของพรรคอยู่ดี ขณะนี้ภายในพรรคก็ยังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ และจากการฟังข่าวในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา บรรดาหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ​ ต่างก็ระบุว่า ยังไม่ได้รับสัญญาเช่นกัน​

เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์กันหรือไม่ กระแสข่าวดังกล่าวที่ลือกันหนาหู และส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องจริง นางนฤมล​ กล่าวว่า มันก็ไม่จริงหลายอย่างเหมือนกัน น่าจะเป็นการคาดการณ์ของสื่อและนักวิเคราะห์ที่คาดว่าอย่างนั้น คาดว่าอย่างนี้

เมื่อถามว่าหากปรับคณะรัฐมนตรีจริง พรรคกล้าธรรมจะยังคงยืนยันในตำแหน่งเดิมใช่หรือไม่ นางนฤมล​ กล่าวว่า ยังคงยืนยันในสัดส่วนเดิม​ และเป็นเรื่องที่พรรคอื่นจะต้องไปพูดคุยเจรจากันเอง

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวพรรคกล้า​ธรรมอยากได้กระทรวงมหาดไทย​ นางนฤมล​ กล่าวว่า ไม่มี และเรื่องดังกล่าวก็จะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะอย่างกระทรวงมหาดไทย ก็อยู่ภายใต้กรรมกับดูแลของนายอนุทิน​ ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พอมาบอกว่าพรรคเราจะเข้าไป ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลกันเปล่าๆ และพรรคกล้าธรรมไม่เคยมีแนวคิดที่จะเอาสัดส่วนของพรรคอื่น และยืนยันว่า เรายังคงดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะนี้เองเกษตรกรก็ยังประสบปัญหาอยู่​ 

นางนฤมล กล่าวว่า ได้มีการหารือกับ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งก็มีความเห็นตรงกันว่า ยังพอใจในตำแหน่งและสัดส่วนเดิมอยู่ และยังไม่ได้มีความคิดที่จะขยับไปตรงไหน

เมื่อถามว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับ ครม. แล้วหรือไม่ นางนฤมล กล่าวว่า เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการหารือกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล แต่ในส่วนของพรรคกล้าธรรม ก็ยืนยันในสัดส่วนเดิม พร้อมที่จะทำงานสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่

นางนฤมล กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกกังวลถึงกระแสข่าวการเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีที่หนักอยู่ในขณะนี้ เพราะในกระทรวงเกษตรฯ เอง ก็ทำงานใกล้ชิดกับข้าราชการมาโดยตลอด​ และเป้าหมายก็พูดมาชัดเจน ทั้งฝ่ายบริหารที่เป็นข้าราชการการเมือง และข้าราชการประจำ​ถึงภารกิจสำคัญในการถวายงาน และภารกิจการดูแลความเป็นอยู่ของเกษตรกร ให้ได้รับความเป็นธรรมในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเรื่องการเมือง เราจะไม่เอามาเป็นปัจจัยในการทำงาน