เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 24 เม.ย. ที่ห้องสารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ และ พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รอบ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 มีนาคม 2568

โดยภาพรวมมีการจับกุมคดีอาชญากรรม 4 กลุ่มหลัก คดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ : จับกุม 9,183 คดี ผู้ต้องหา 12,329 คน คดีชีวิต ร่างกายและเพศ : จับกุม 29,213 คดีผู้ต้องหา 34,876 คน คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ : จับกุม 6,924 คดี ผู้ต้องหา 8,380 คน คดีที่น่าสนใจหรือรัฐเป็นผู้เสียหาย : จับกุม 263,731 คดี ผู้ต้องหา 275,514 คน

ในการปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรงนั้น มีผลงานเด่นชัดในหลายด้าน ด้านยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 123,910 คน, ข้อหาฟอกเงิน 146 คดี ของกลางยาบ้า 510,211,182 เม็ด, ไอซ์ 29,604.74 กิโลกรัม, เคตามีน 3,926.78 กิโลกรัม, เฮโรอีน 880.20 กิโลกรัม, ยาอี 118,230 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์สิน 4,986,222,913 บาท

มาตรการสกัดกั้นและปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดตามแนวชายแดนและพื้นที่ตอนในของประเทศ Seal Stop Safe ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2568 จับกุมข้อหาร้ายแรง 23,270 คดี ของกลางยาบ้าและยาอี รวม 200.64 ล้านเม็ด และไอซ์, เคตามีน, เฮโรอีน รวม 11 ตัน ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,414.66 ล้านบาท โดยมีการจับกุมและการยึดทรัพย์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19-79 เมื่อเทียบจากปี 2567

ผลการจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 3 เมษายน 2568 จับกุมผู้ต้องหา 2,260 คน ของกลาง 1,106,936 ชิ้น มูลค่า 218,499,239 บาท, การจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ หรือมูลค่าของกลาง 5 แสนบาทขึ้นไป และแก๊สหัวเราะ (รวมยอดของกรมศุลกากร) จำนวน 26 คดี ผู้ต้องหา 27 คน ของกลาง 1,297,111 ชิ้น มูลค่า 264,492,100 บาท, คดีฟอกเงิน 22 คดี ของกลาง 839,948 ชิ้น มูลค่าของกลาง 202,863,310 บาท, ระงับ/ปิดกั้น URL ที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า 11,106 URL และปิดกั้นเพจเฟซบุ๊กตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 1,687 เพจ

ด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ระบบรับแจ้งความออนไลน์มีคดีเข้ามา 126,400 คดี สามารถจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีทุกประเภทได้ 22,551 ราย บัญชีม้า 4,558 ราย และการพนันออนไลน์ 35,174 ราย จุดเด่นคือความร่วมมือกับทางการกัมพูชาผ่านศูนย์ประสานงานฯ และ ฉก.88 (ภายใต้ ศอ.ปชด.) ทำให้สามารถนำตัวคนไทยที่พัวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปอยเปตกลับมาดำเนินคดีได้ถึง 2 ครั้ง รวม 175 คน ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาหนัก ทั้งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อั้งยี่ ซ่องโจร ฉ้อโกงประชาชน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังเดินหน้าปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยมีการตรวจพื้นที่เสี่ยงกว่า 1,200 ครั้ง ดำเนินคดีกว่า 100 คดี และคัดกรองผู้ที่อาจเป็นเหยื่อได้กว่า 1,500 คน รวมถึงการปราบปรามผู้มีอิทธิพลผ่านยุทธการสำคัญ เช่น “CIB ขยี้อิทธิพล” และ “ธรณีนี้ มีขื่อ มีแป” ซึ่งสามารถจับกุมและยึดของกลางได้จำนวนมาก ทั้งอาวุธปืน ยาเสพติด และทรัพย์สินอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังเข้มงวดกับการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวผิดกฎหมาย โดยผลักดันส่งกลับกว่า 5 หมื่นราย และขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้ามกว่า 1,300 ราย

นอกจากการปราบปรามแล้ว ยังมีมาตรการเชิงป้องกัน เช่น “7 ขั้นตอน ป้องกันคนต่างด้าวถูกหลอกลวง” ซึ่งช่วยลดปัญหาการลักลอบข้ามแดนและคดีคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการบริหารจัดการคดีสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การตั้ง ศปก.ส่วนหน้าในเหตุฉุกเฉิน การตั้งศูนย์รับแจ้งความเฉพาะกิจ และการประสานงานกับตำรวจสากล (Interpol) เพื่อออกหมายแดงผู้ต้องหารายสำคัญ ตลอดจนการเตรียมพร้อมรับมือสาธารณภัย

ในด้านการขับเคลื่อนนโยบาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อผลักดันนโยบาย 15 ข้อ และนโยบายรัฐบาลรวม 32 โครงการ/กิจกรรม ครอบคลุมทั้งการพัฒนาระบบงาน (Digital Police Station) การปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม การพัฒนาข่าวกรอง การบริหารงบประมาณ และการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจ

ด้านสวัสดิการและความเป็นอยู่ มีการดูแลข้าราชการตำรวจและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องเบี้ยเลี้ยง การช่วยเหลือครอบครัวตำรวจที่เสียชีวิต/บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ สวัสดิการอาหารกลางวัน การจัดอบรมให้ความรู้ทางการเงินร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจและตลาดหลักทรัพย์ฯ และกิจกรรมเสริมทักษะให้บุตรหลานตำรวจช่วงปิดเทอม พร้อมกันนี้ยังเน้นการปรับเปลี่ยน Mindset ของตำรวจ 6 ด้าน เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง.