เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 เม.ย. ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ “เดลินิวส์” ได้จัดงานเสวนา ‘Sustain Daily Talk 2025’ หัวข้อ ‘Sustainable Green Finance โอกาส และความท้าทาย’ ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน มีนายปารเมศ เหตระกูล นางสิริวรรณ พันธุ์ปรีชากิจ กรรมการบริหาร และ น.ส.นลิน รุจิรวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและการตลาด (EVP) เดลินิวส์ ร่วมต้อนรับ

โดยในช่วงเวทีเสวนา ในหัวข้อ “พร้อมมั้ยประเทศไทย? ตลาดเงินตลาดทุนสีเขียว” มี ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงการกลยุทธ์ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน และหัวหน้ากลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ดร.ชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ร่วมเสวนา
ด้าน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายที่สมาพันธ์ฯ ให้ความสำคัญ การส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเข้าถึงการเงินสีเขียว หรือ การเงินทุนที่นำไปสู่ความยั่งยืน โดยธรรมาภิบาลเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาทำโครงการร่วมกับธนาคารออมสิน ช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงเงินทุนมากกว่า 3,000 ล้านบาท รวมถึงธนาคารอื่นๆ เพื่อให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เข้าถึงคงแหล่งเงินทุนได้เร็ว รวมถึงการพัฒนาเอสเอ็มอีสีเขียวและแรงงานสีเขียว ที่ปัจจุบันมีเอสเอ็มอีไม่ถึง 10% ที่มีการสนับสนุนพัฒนาทักษะแรงงานสีเขียว

“เรื่องนโยบายทรัมป์ กำแพงภาษีนั้น ปัจจุบันไทย ส่งออกไปตลาดสหรัฐ เป็นตลาดใหญ่ 18% ของตลาดส่งออกทั้งหมด หากมองเฉพาะเอสเอ็มอี คิดเป็น 20% หรือมีมูลค่า 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมี 12 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 3,700 ราย มูลค่าประเมินจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินครึ่งที่ส่งออกไปสหรัฐ ถือว่าเอสเอ็มอี ได้รับผลกระทบทางตรง ไทยพึ่งตลาดสหรัฐเป็นหลัก แม้ว่าสหรัฐ จะไม่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ให้ความร่วมมือ แต่สิ่งที่เห็น คือ ประเทศจีน มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ที่ให้ความสนใจเรื่องการลดคาร์บอน ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม”
นายแสงชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่เอสเอ็มอีไทยต้องมาถอดบทเรียน เช่น เกาหลีใต้ ที่มีการทำเรื่อง esg โดยเฉพาะสำหรับเอสเอ็มอี แต่ไทยยังมีน้อย วันนี้สำรวจเอสเอ็มอี เรื่อง esg มีเพียงไม่ถึง 5% ที่ทำ และไม่ถึง 10% ที่มีแผนปรับตัว ที่ส่วนใหญ่กำลังตัดสินใจจะทำ แต่รอเงินทุน ส่วนกลุ่มที่ไม่มีแผนเลยคือขาดความพร้อมเรื่องคน เงิน เปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีตอนนี้ เรื่องแรกที่เอสเอ็มอีอยากได้ คือ องค์ความรู้ รัฐต้องมีบทบาทต่อการทำธุรกิจของเอสเอ็มอี มีที่ปรึกษา พี่เลี้ยง เช่น การจัดการขยะ พลังงานไฟฟ่า และสังคม ต้องมีผู้รู้เข้ามาช่วยสนับสนุน และสองเรื่องเงินทุน ในการปรับตัว ต้นทุนต่ำปัจจุบัน สถานการเงินของรัฐ ส่วนใหญ่เอสเอ็มอี ใช้บริการอยู่ การเปลี่ยนแปลงทำอย่างไรให้สถาบันการเงิน รัฐและเอกชน สามารถเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการและเกษตรกร ต้องเดินไปด้วยกัน เอสเอ็มอีโต สถาบันการเงินก็โตไปด้วย
“สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือทุกวันนี้เอสเอ็มอี ไปกู้เงินนอกระบบเยอะมากขึ้น และมีแบบไฮบริด กู้ใช้ทั้งเงินในระบบและนอกระบบ ไทยต้องทำเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ยั่งยืนได้อย่างไร คือการให้เอสเอ็มอี เข้ามาใช้เงินสินเชื่อในระบบให้มากที่สุด เพื่อให้เอสเอ็มอี เกิดภูมิคุ้มกัน และมีการใช้และวางแผนสินเชื่ออย่างรอบคอบ ขณะเดียวกันต้องทำอย่างต่างประเทศ เช่น ยุโรป ที่ทำกฎระเบียนที่ง่าย ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ยกระดับแรงงานสีเขียว หรือแบบเกาหลีใต้ ที่มีการจัดตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาสำหรับเอสเอ็มอี ต้องสร้างระบบนิเวศ แก้กับดักหนี้ กับดักคน กับดักทุน การบังคับใช้กฎหมายที่เข้ม ลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค ภาครัฐและเอกชนต้องทำงานสอดรับประสานกัน เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้ทำธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน”