เมื่อวันที่ 29 เม.ย. นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงานเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2568 ว่า ข้อเรียกร้องในวันแรงงานปี 2567 ก็ยังไม่มีข้อไหนที่ดำเนินการได้ตามข้อเรียกร้อง ดังนั้นในปี 2568 ซึ่งเราจะมีการยื่นข้อเรียกร้อง 9 ข้อนั้น จึงมีหลายข้อที่เป็นข้อเรียกร้องเหมือนกับปีที่ผ่านมา ที่สำคัญที่สุดคือ “การจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง” เพื่อเป็นหลักประกันในการทำงานของลูกจ้าง โดยเฉพาะกรณีการถูกเลิกจ้างแล้วนายจ้างไม่จ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎหมาย อย่าง กรณีบริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ที่เลิกจ้างแล้วลูกจ้างไม่ได้รับเงินชดเชย จนต้องเรียกร้องกันอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งหากจ่ายชดเชยให้ครบทุกคนจะมีมูลค่าถึงราว 400 ล้านบาท และที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ทุกปี หากเป็นรายย่อยก็ไม่เป็นข่าว แต่ถ้ามีลูกจ้าง 50-70 คนก็จะเป็นข่าวให้เห็น 

นายพนัส กล่าวอีกว่า เรื่องนี้อาจดำเนินการด้วยการแก้พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์ให้เข้มข้นขึ้นได้ ส่วนจะกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายสัดส่วนเท่าไหร่ก็ต้องมีการหารือกัน และไม่ต้องจ่ายตลอดเพียงแต่จ่ายให้ครบตามจำนวนวันที่กำหนดให้ชดเชย เช่น 400 วัน เมื่อนายจ้างจ่ายครบแล้วก็ไม่ต้องจ่ายแล้วเนื่องจาก มาตรา 118 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชยกรณีมีการเลิกจ้างให้ลูกจ้างอยู่แล้ว

“กองทุนนี้ก็เหมือนเป็นการนำออกเงินจากนายจ้างออกมาไว้ที่กองทุนประกันความเสี่ยงเพื่อเป็นหลักประกันให้ลูกจ้าง มิฉะนั้น ก็จะมีการตั้งงบประมาณหลอกไว้ในงบประมาณผลประโยชน์พนักงานปีหน้า เป็นผลประโยชน์ค้างชำระ แต่พอเจ๊งนายจ้างก็หอบเงินหนีไปด้วย แต่หากแก้กฎหมายเรื่องนี้ก็ต้องเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก็คงถูกทุนนิยมค้านแหลกลาญไปหมด”นายพนัสกล่าว และว่า ส่วนข้อเรียกร้องในปี 2568 เรื่องที่ให้แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 ให้ลูกจ้างรายเดือนที่ทำงานล่วงเวลาได้รับค่าล่วงเวลาหรือโอที 1.5 เท่า เช่นเดียวกับพนักงานรายวันนั้น ฝ่ายกระทรวงก็รับว่าเดือนมิ.ย.2568นี้จะเสร็จ  

ทั้งนี้ 1 พ.ค. วันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2568  กลุ่มแรงงานมีข้อเรียกร้อง  จำนวน 9 ข้อ คือ 1.ให้รัฐบาลเร่งรัดการรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ค.ศ.1948 และฉบับที่ 98 ว่าด้วยเรื่องสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง ค.ศ.1949 ข้อ 2.ให้รัฐบาลตราพ.ร.บ. หรือประกาศเป็นกฎกระทรวงให้มีการจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง เพื่อเป็นหลักประกันในการทำงานของลูกจ้าง 3.ให้รัฐบาลยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้จากเงินก้อนสุดท้ายที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้าง เมื่อพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างในทุกกรณี ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจในวงเงิน 1 ล้านบาท

4.ให้พนักงานรัฐวิสาหกิจสามารถอยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และมีลักษณะการจ่ายเงินร่วม (co-payment) เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทยอย่างเป็นธรรม5.ให้รัฐบาลปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคม ดังนี้ ปรับฐานการรับเงินบำนาญ ให้มีรายรับไม่น้อยกว่า 5,000 บาท กรณีที่ผู้ประกันตนเกษียณอายุ และรับเงินบำนาญแล้ว เมื่อสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้มีสิทธิรับเงินบำนาญต่อไป, กรณีผู้ประกันตนพ้นสภาพจากมาตรา 33 และสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 การคิดคำนวณเงินบำนาญขอให้ใช้ฐานค่าจ้างจากมาตรา 33 และ เมื่อผู้ประกันตนรับบำนาญแล้ว ให้คงสิทธิรักษาพยาบาลตลอดชีวิต, กรณีผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาพยาบาลโรคร้ายแรงและเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็งทุกชนิด ให้ครอบคลุมถึงการใช้ยารักษาพยาบาลตามที่แพทย์แนะนำ และ ขยายอายุผู้เริ่มเข้าเป็นผู้ประกันตนจากเดิม 15-60 ปี เป็น 15-70 ปี เพื่อให้เข้ากับสังคมผู้สูงอายุ

6.ให้รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน ดำเนินการให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างเหมาค่าแรง ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม.11/1 อย่างเคร่งครัด 7.ให้รัฐบาลยกระดับกองความปลอดภัยแรงงาน เป็น กรมความปลอดภัยแรงงาน 8.ให้รมว.แรงงาน ดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 ลงวันที่ 22 ส.ค.พ.ศ.2541 กฎกระทรวงฉบับที่ 8 ลงวันที่ 14 ก.ย.พ.ศ.2541 และกฎกระทรวงฉบับที่ 13 ลงวันที่ 27 ม.ค. พ.ศ.2543 ซึ่งทั้ง 3 ฉบับออกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีข้อความตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนที่ทำงานล่วงเวลาไม่ให้ได้รับค่าล่วงเวลา 1.5 เท่า เช่นเดียวกับพนักงานรายวัน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับทราบ และรับว่าจะดำเนินแก้ไขมาก่อนแล้ว และ 9.ให้รมว.แรงงานแต่งตั้งคณะทำงานติดตามข้อเรียกร้องวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2568