เป็นอีกหนึ่งคนที่ฝีมือการแสดงไม่ธรรมดาเลย สำหรับนางเอกตลอดกาล “หมิว ลลิตา” ซึ่งดูเหมือนว่าช่วงนี้หายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงนานกว่า10ปี โดยล่าสุด หมิว ลลิตา เปิดใจถึงสาเหตุที่หายไปพร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์วิกฤตหนักที่สุดในชีวิตรวมถึงอาการป่วยหนักที่ต้องผ่าตัดถึง 2 ครั้ง เกือบทำให้เจ้าตัวเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต หนักสุดถึงขั้นนอนติดเตียง ครึ่งล่างชา ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31

หมิว ลลิตา เผยว่า “หายไปจากวงการบันเทิงนานมาก ล่าสุดรับงานละครเรื่องล่า ตอนนั้นอายุ 45 แล้วก็ไปเป็นพิธีกร 8 ปี อยู่กับพี่ท็อป แล้วหายไปจริงๆ เลย 2 ปี ส่วนที่เขาลือกันว่าจะออกจากวงการบันเทิง คือมันมีเหตุ ตอนนั้นหลังจากเรื่องสุดท้าย เราก็มาทำที่นี่ประมาณปี 60 เสร็จปี 62 ปรากฏมีโควิดเลยเกิดเป็นร้านกาแฟก่อน แล้วมาเปิดเป็นทางการเป็นที่พักประมาณปี 65 ซึ่งหมิวเองไม่ได้คิดออกจากวงการเพื่อมาทำโรงแรมอย่างเดียว แต่โฟกัสอยู่ที่ของใหม่ อยู่ที่สิ่งที่เราตั้งใจจะทำ ค่าก่อสร้างที่นี่ 8 หลัก ก็ประมาณนั้น แต่ของดีทุกอย่าง เราคิดว่ามีจำนวนห้องน้อย มีแค่ 10 ห้อง ฉะนั้นทุกอย่างตั้งแต่ตอนทำ คนที่ทำบอกว่านี่ไม่เอากำไรเลยเหรอ คือเราอยากให้คนมาพักในอุปกรณ์ห้องที่ดี แล้วก็มีคุณภาพที่ดี อยากให้เขามากินอิ่ม นอนหลับ อยู่สบาย พักผ่อนอย่างมีความสุข ได้ควอลิตี้ชีวิตที่ดี ฉะนั้นสมกับการที่เราลงทุนให้กับแขกที่มาพัก

ที่หมิวดูเหมือนหายไป ไม่รับงานในวงการบันเทิงเลย เพราะว่าหมิวป่วยทางจิต (หัวเราะ) อาการป่วยของหมิว ที่หลายคนไม่เคยรู้ว่าหมิวต้องสู้กับอะไรมาบ้าง แล้วไม่ใช่แค่ระรอกเดียวนะ เป็นเรื่องของแกนกลางลำตัว หมอนรองกระดูก คือเริ่มแรกมันปวดขาข้างนึง เราจะนั่งได้แค่ 2 ชม.เป๊ะ หมิวต้องเอาขามาไว้ข้างบน หรือไม่ก็นอนราบ ไม่สามารถวางขาไว้อย่างนี้ได้ อยู่ด้วยยาแก้ปวดมาเป็นปี แล้วก็ไปหาหมอ ตอนแรกเจอแล้วแหละว่าเป็นหมอนรองกระดูก แล้วฉีดสเตรอยด์ตอนแรกก็ยังอยู่ แต่พอฉีดไปสัก 3 เดือน ทีนี้เอาไม่อยู่แล้ว ก็ MRI อีกทีนึง ปรากฏว่าหมอนรองกระดูกแตก L5 ทับเส้นประสาท ทีนี้มันมีทางเลือก คุณหมอบอกผ่าเล็ก ผ่าสมัยใหม่ผ่านกล้องนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็หาย

ซึ่งคุณหมอบอกว่า มันไม่สามารถบอกเป็นข้อ 1.-2.-3. ได้ แต่คุณหมอบอกอาจจะมีการกระแทก หกล้ม พี่เป็นคนบาลานซ์ไม่ค่อยดี ชอบหกล้ม ที่บ้านตรงนู้นเป็นบันไดไม้ พอลงมาขั้นสุดท้าย แล้วลงไปสนามมันอีกขั้นนึง แล้ววันนั้นหมิวก็ตกบันไดมันก็อาจจะไปกระแทกอีกทีมันเลยทำให้แตกแล้วไปทับเส้นประสาท แล้วในช่วงก่อสร้าง เวลาเขามีหิน ปูน ทราย ชอบมากไปช่วยเขา ดึงไม้ ทำนี่ เฟอร์นิเจอร์ขึ้นตกแต่ง คือใช้ร่างแบบไม่ได้คิดว่ามันจะกระทบกระเทือนโดยอายุ ก็ผ่าเลย พี่บอกว่าถ้าให้พี่อยู่อย่างนี้พี่อยู่ไม่ได้ มันถึงขั้นล้มหมอน นอนเสื่อเลยไหม ตอนนั้นนั่งอยู่ในรถ พอ 2 ชม.หมิวต้องยกขาขึ้นมา สูง ซึ่งเราจะใช้ชีวิตอย่างนั้นก็ไม่ได้ แล้วตอนนั้นมีคนติดต่อให้เล่นละคร แล้วในช่วงนั้น ในช่วงก่อนผ่า ก็มีคนมาติดต่อนี่แหละ ให้นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก 2 ชม. แล้วพี่เจ็บขา พี่ต้องลุกขึ้นเดิน ถามว่าตอนตัดสินใจผ่ามันกลัวไหม ก็ไม่กลัวนะ แต่ครั้งที่2 เป็นอีกข้างนึงพอหลังจากผ่าครั่งแรก

โดยการผ่าครั้งแรกก็หาย ไม่เป็นอะไรเลย พอครั้งที่2 ปวดอีกข้างนึง ซึ่งครั้งแรกที่ผ่าใช้วิธีใส่กล้องเล็ก 3 วันออกจากโรงพยาบาล พักที่บ้าน 7 วันก็ทำงานได้แล้ว แล้วไปทำงานยกของอีก ก็ไปทำงานกับเพื่อน ครั้งที่2 มันไม่ได้เกี่ยวกับเราใช้ชีวิต มันเกี่ยวกับอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งหมิวต้องเข้าผ่าตัดครั้งที่2 คือมันเป็นซีสต์กดที่ก้นกบเส้นประสาท มีซีสต์อยู่ 4-5 เม็ด ตอนแรกหาสาเหตุไม่เจอ ทำ MRI มันไม่เห็นอะไรเลย มันไม่มีอะไรที่น่าเป็นไปได้ คุณหมอก็เลยทำอีกที สแกนมาถึงก้นกบข้างล่างเลย ปรากฏเจอซีสต์เกาะอยู่ พอเจอปุ๊บก็ต้องผ่าตัดแต่ต้องเสี่ยง มันคือผ่าตัดใหญ่ อาการนี่มันไม่ได้เป็นประจำ มันเป็น 1 ใน 100 มันไม่ใช่หมอนรองกระดูก ที่พี่เป็นมันไม่ค่อยมีใครเป็น พอหมอบอกว่านี่ไม่ใช่เคสปกติทั่วไป ต้องผ่า ตอนนั้นก็กลัว แต่ยังไงก็ต้องผ่า เพราะพี่ใช้ชีวิตแบบเจ็บไม่ได้ มันเจ็บมาก ส่วนสาเหตุที่เป็น คุณหมอบอกว่าไม่มีสาเหตุ ก็เหมือนคนเป็นซีสต์ตามที่ต่างๆ ตามร่างกาย แต่นี่มันเส้นประสาท ซึ่งแผนการผ่าตัดเป็นผ่าตัดแบบโบราณ ก็คือผ่าตัดใหญ่ประมาณ 10 เซน เพื่อจะเอาก้อนซีสต์ออกมา จำได้ ก่อนหลับมีคุณหมอเต็มห้องเลย”

หมิว ลลิตา เล่าต่อว่า “การผ่าครั้งนี้มันมีตั้งหลายจุดแล้วผ่าใหญ่ ถ้าพลาดหรือเกิดอะไรขึ้น โอกาสที่จะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ถามว่าเรามีกังวลไหมว่า อัมพฤกษ์-อัมพาต จะมาถึงเรา ตอนเจ็บไม่เคยคิด แต่ตอนพักฟื้นคิด คือเราเชื่อใจคุณหมอท่านนี้มาก ครั้งนี้พี่ก็เชื่อใจคุณหมออยู่แล้วว่าคุณหมอสามารถทำได้ แต่ตอนพักฟื้น มันพักแบบไม่ได้คิดว่าเราจะขยับไม่ได้ เพราะมันกลางหลัง เราก็นอนหงายไม่ได้แล้วนะ แล้วขึ้น-ลง บันได ไม่ได้ ครึ่งล่างมันจะชา มันเหมือนไม่ค่อยมีความรู้สึก คือเข้าห้องน้ำไม่ได้ ใช้ชีวิตลำบาก ตอนนั้นถึงรู้สึกว่ามันจะกลับมาเป็นปกติไหม คือขับถ่ายก็ไม่สะดวก ต้องไปสวนที่โรงพยาบาล อยู่แบบนี้เป็นเดือน ใจเสียมาก คือครั้งนี้ที่ป่วยหนักๆ สุขภาพจิตดีนะ คุยกับเพื่อนได้ แต่ก็พยายามปิดบังลูกไม่ให้ลูกรู้ว่าป่วย ลูกคนโตเรียนอยู่ที่อเมริกา ก็ไปหาครึ่งทาง ตอนนั้น 1 ปีแล้วไปอเมริกา 30 ชั่วโมงไม่ไหวจริงๆ เลยเลือกที่จะไปเจอกันครึ่งทาง ก็ไปเจอที่อังกฤษ แต่ตอนนั้นเรายังนั่งเก้าอี้เข็น พอไปถึงลูกก็เห็น แต่ “อีตั้น” รู้เพราะเขาเป็นคนเข็น ตอนนั้นเดินได้ประมาณนึงก็พัก ฉะนั้นลูกก็รู้แล้วว่าแม่เป็นตรงนี้ คือหมิวเดินได้ แต่เดินในสนามบินยาวๆ ไม่ได้ ก็เลยต้องใช้วีลแชร์ช่วย แต่ไม่ถึงกับเอาวีลแชร์ไปใช้ที่นู้นนะ ใช้พักเอา แต่ช่วงนี้ก็ปกติ แต่คุณหมอบอกอย่าไปวิ่งเลย อย่าไปกระแทก คือมันสามารถเกิดขึ้นได้อีก เพราะหลังเรามันมีหลายข้อ อย่าไปกระแทก ซึ่งผ่ามาเกือบ 2 ปีแล้ว ตอนนี้ถ้าจะไปเที่ยวต่างประเทศได้แล้ว ไม่ต้องใช้วีลแชร์ได้แล้ว”