จากกรณีที่เจ้าหน้าที่สรรพมิตพื้นที่อุดรธานี ได้จับชายพิการป่วยอัมพฤกษ์ครึ่งซีกด้านขวา ขายบุหรี่ติดอากรแสตมป์ปลอม 232 ซอง ต้องเสียค่าปรับ 146,000 บาท แต่ไม่มีเงินเสียค่าปรับ จึงขอติดคุกแทนแม่อายุ 80 ปี จึงถูกควบคุมตัวดำเนินคดีที่โรงพักเมืองอุดรธานี นำตัวไปไว้ที่ห้องควบคุม น้องสาวทนไม่ได้ต้องนำโฉนดที่ดินไปจำนอง นำเงิน 5 หมื่นบาทมาประกันตัวพี่ชาย ทำให้เกิดกระแสดราม่าขึ้นมา ซึ่งเจ้าหน้าที่สรรพสามิตรออกมาชี้แจง ไม่ได้ส่งคนหรือเจ้าหน้าที่ไปขายบุหรี่ปลอม ก่อนเข้าจับ แต่เป็นบุหรี่ติดอากรแสตมป์ปลอมจากประเทศเพื่อนบ้านที่ลักลอบนำมาขายช่วงขึ้นภาษีบุหรี่ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

คืบหน้าเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ชายพิการ พร้อมแม่และน้องสาว ได้เดินทางมาโรงพักเมืองอุดรธานี พบ ร.ต.ท.ศุภชัย ขันอาษา พนักงานสอบสวน เพื่อมาให้ปากคำเพิ่มเติม โดยมีทนายความอาสามาร่วมรับฟังและให้คำแนะนำผู้ต้องหา และมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานยุติธรรมจังหวัดอุดรธานี เดินทางมาพบผู้ต้องหาและญาติ เพื่อแนะนำเกี่ยวกับเงินกองทุนยุติธรรม

น.ส.จักษณา ปัญญาสิทธิ์ ผอ.สนง.ยุติธรรมจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ได้มาแจ้งสิทธิให้กับประชาชน ตามโครงการยุติธรรมเชิงรุก ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยให้นิติกรมาให้รายละเอียดกับทางผู้ต้องหาว่า กองทุนยุติธรรมสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ หรือว่ามีความยากจน หรือมีเงื่อนไขที่เข้าหลักเกณฑ์ ซึ่งกองทุนยุติธรรมนี้ ก็จะช่วยเหลือในเรื่องเงินการประกันตัว จากข่าวเราทราบว่าทางผู้ต้องหาได้นำหลักทรัพย์โฉนดที่ดิน ไปวางไว้กับนายทุน ซึ่งเราจะมาแนะนำทางออก เพื่อจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ย หรือไม่ลำบากตัวเองในภายหลัง ให้นำเงินกองทุนเอาไปไถ่ถอนโฉนดที่ดินออกมา

โซเชียลแห่เห็นใจ หนุ่มพิการขายบุหรี่ปลอมไม่รู้ตัว ต้องกู้ครึ่งแสนมาประกันตัว

โดยได้แนะนำขั้นตอนในการไปติดต่อที่สำนักงานยุติธรรม ซึ่งวันนี้ทางเราพร้อมรับเรื่องเลย แต่สอบถามแล้ว ผู้ต้องหาต้องการไปพบที่สำนักงาน โดยได้อธิบายเบื้องต้นแล้วว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง ในเรื่องการพิสูจน์ความผิดก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ แต่เรื่องที่จะติดต่อกับเรา เพื่อไปยื่นคำขอเพื่อจะใช้กองทุนยุติธรรมในการประกันตัว ซึ่งจำนวนเงินประกันตัวขึ้นอยู่กับศาลว่าต้องการให้วางหลักประกันเท่าไหร่ ไม่ได้จำกัดจำนวน ในส่วนค่าปรับไม่ได้มีเงินกู้ยืม คือส่วนในการประกันตัว เป็นเงินที่เราจะไปเปลี่ยนหลักประกันในชั้นตำรวจหรือชั้นศาลให้ โดยมาใช้เงินกองทุนแทน แต่เงื่อนไขคือ หลังจากคดีเสร็จสิ้นแล้ว โดยที่ผู้กระทำผิดไม่หลบหนี หลังจากคดียุติ ก็จะคืนเงินนั้นกลับไปกองทุน เพื่อใช้หมุนเวียนช่วยเหลือประชาชนต่อไป ส่วนเงินค่าปรับหรือเรื่องอื่นๆ ไม่เกี่ยวกับเงินกองทุน”

น้องสาวชายพิการ กล่าวว่า วันนี้ตำรวจเรียกพี่ชาย มาสอบปากคำ แล้วแจ้งข้อหา “ขายสินค้าไม่มีอากรแสตมป์” จะทำสำนวนประมาณ 7 วัน สรุปสำนวนส่งฟ้องศาล ซึ่งทนายความได้แนะนำว่าถ้าเสียค่าปรับชั้นสอบสวน จะเสียเงินประมาณ 48,000 บาท ซึ่งพวกตนไม่มีเงินในตอนนี้ จึงตัดสินใจไปเสียค่าปรับที่ชั้นศาล ซึ่งจะตัดสินภายใน 3-6 เดือน โดยต่อไปจะบอกให้พี่ชายระมัดระวัง แต่เนื่องจากพี่ชายไม่สะดวกที่จะไปซื้อสินค้ามาขายเอง เมื่อมีคนขับรถมาส่งสินค้าก็จะซื้อไว้ขาย ซึ่งเห็นว่าแสตมป์เหมือนกัน แต่ไม่ได้สังเกตตัวเลข ประชาชนก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเลขไม่เหมือนกัน ก็ดูแต่เพียงว่ามีแสตมป์ติดเพราะซองบุหรี่จะเหมือนกันหมด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่เข้าไปจับและบอกจึงได้รู้

น้องสาวชายพิการ กล่าวต่อว่า สำนักงานยุติธรรม ได้มาให้คำแนะนำช่วยเหลือเกี่ยวกับเงินกองทุนยุติธรรมไปประกันตัว เมื่อเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะได้นำเงินประกันไปคืนกองทุน แต่ต้องนำเอกสารไปยืนที่สำนักงาน ซึ่งพี่ชายมีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไม่สะดวกในการเดินทาง เกรงว่าจะเครียดและช็อคได้ ตอนนี้นายทุนที่ตนนำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นชื่อแม่ ประมาณ 1 งาน ไปจำนอง 5 หมื่นบาท รู้สึกสงสาร ได้บอกว่าเงินที่ยืมมาประกันตัวพี่ชายไม่คิดดอกเบี้ย รู้สึกดีใจที่มียุติธรรมจังหวัด และนายทุนที่เมตตาช่วยเหลือในครั้งนี้.