มองว่า เรื่องกรีนไฟแนนซ์เกี่ยวกับข้องกับ ESG ต้องเชื่อมกับแผนของประเทศเพื่อแสดงเป้าหมายและแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวหรือ NDC (Nationally Determined Contribution ประเทศไทยกำหนดแผน NDC ปี 2015 ตั้งเป้าลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20-2% ภายในปี2030) ขณะเดียวกันการประชุมการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ พ.ศ. 2567 หรือคอป 29 มีกองทุนสนับสนุนเงินประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับประเทศที่มีแผน NDC แต่ประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดรายละเอียดทิศทางที่ชัดเจนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะไปขอเงินสนับสนุนจากเงินกองทุนดังกล่าวได้ ทั้งนี้ในเบื้องต้นประเทศไทยต้องประกาศกฎหมายลดโลกร้อนให้ได้ก่อน

สำหรับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเครดิตของเอสซีจี เริ่มจากการปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยลดต้นทุนจากพลังงานทดแทน เช่นการติดตั้งโซลาร์เซลล์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 10 เมกะวัตต์ ทำให้เสียค่าไฟเพียงยูนิตละ 1 บาท จากเดิมต้องจ่ายค่าไฟฟ้าในราคายูนิตละ 4 บาท 1 ปีประหยัดค่าไฟได้ 1,200 ล้านบาท ส่วนการใช้พลังงานความร้อนเน้นเพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานจากไบโอแมส เช่น ฟางข้าว อ้อย แกลบ ขี้เลื่อย ปาล์ม เพื่อลดพีเอ็ม 2.5 ขณะนี้ใช้พลังงานไบโอแมสไปถึง
60 % แล้ว

“ชนะ” กล่าวว่า ในการเปลี่ยนผ่านเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต้องเริ่มจากขบวนการผลิต บริษัทได้กำหนดแผนงาน (Road map) 3 กลุ่มดังนี้ 1.Do Now พิจารณาความสามารถในการลงทุนด้วยประสิทธิภาพลดต้นทุน ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อม ๆ กับการวัดผลด้านการเงิน 2. Decide later พิจารณามาตรการของภาครัฐและเม็ดเงินที่จะลงทุน 3.To decide ติดตามเทคโนโลยีที่เริ่มขยับทุกปี มีทีมติดตามดูว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์มีหลายประเภท การดูราคาอาจพลาดเรื่องประสิทธิภาพ แผงปัจจุบันเริ่มจากโพลีใช้วัตถุดิบต่ำกว่า ดังนั้นการเลือกซื้อโซลาร์ต้องเลือกไซซ์โมโน เพราะมีซิลิการ์สูง และไทป์ ประสิทธิภาพการผลิตไฟจากช่วงเดียวสูง เทคโนโลยีที่เปลี่ยน จะมีทีมเทคตามเทียบกับเงินที่จะต้องลงทุน เปลี่ยนอะไรต้องใช้เงิน ใช้เงินช่วงไหนที่เหมาะสมเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้
จากนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ” ที่สวนทางกับกระแสของโลกที่มุ่งสู่การผลิตและการบริโภคลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลก “ชนะ” ให้มุมมองเรื่องนี้ว่าเทรนด์โลกยังไปในทิศทางต้องร่วมกับลดการผลิตเพื่อปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น “ถ้าใครไปได้ก่อนคือโอกาส” แต่สิ่งที่ต้องทำให้ชัดคือ เน้นที่การปิดความเสี่ยง แล้วสร้างโอกาสทางการตลาด เป็นทิศทางที่ประเทศหรือบริษัทจะต้องทำ เอสซีจี มองว่า อย่างไรการบริโภคจะหนีเรื่องสินค้าที่มีคุณภาพไม่ได้ สิ่งที่บริษัทเตรียม คือ ใช้แม่เหล็กตัวเดิม แต่กำหนดทิศทางที่ว่า ในระยะกลาง สั้น ยาว ต้องทำอย่างไร มองว่า สินค้าจีนมาแน่ เพราะไปที่อื่นยาก จึงต้องทำต้นทุนให้ลดลงเพื่อให้เกิดการแข่งขันได้ โดยเน้นสร้างสกิลการผลิตที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตามจากนโยบายของทรัมป์ที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาต้องมาวิเคราะห์ว่าตลาดไหนที่ส่งผลกระทบ ตลาดไหนมีโอกาส จริง ๆแล้วหลายตัวมากที่จะเป็นโอกาสของประเทศ เช่น การท่องเที่ยว อาหาร เกษตร สิ่งที่รัฐบาลต้องทำควรทำงานแบบรวมศูนย์ แทนที่จะทำงานแบบแยกส่วน โดยให้กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งทำ ดังนั้นหากจะนำประเทศด้วยการท่องเที่ยว ต้องใช้ “อาหาร” เป็นตัวนำ เชื่อมโยงกับภาคเกษตรต่อเนื่องไปถึงระบบการผลิต ซึ่งต้องใช้น้ำในการเพาะปลูก แต่ด้วยระบบชลประทานของประเทศที่ไม่ทั่วถึง จึงต้องวางแผน ปัจจุบันชลประทานรองรับเรื่องน้ำท่วมและน้ำแล้ง แต่สามารถสนับสนุนเรื่องโลจิสติกส์ได้ทำควบคู่กันที่เรียกว่า “water mode” เพราะภูมิศาสตร์ของประเทศเป็นศูนย์กลางในการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน เหล่านี้สามารถเชื่อมโยงเชื่อมเรื่อง ท่องเที่ยว เกษตร ขนส่ง เราได้เรียนรู้ว่าที่ผ่านมาไม่มีการสนับสนุนการสร้างระบบขนส่งด้วยรถไฟ แต่เน้นการจัดสรรงบประมาณไปสร้างถนนแทน
เช่นเดียวกับการใช้พลังงานสะอาด ประเทศไทยไม่มีจุดแข็งเรื่องการปรับเปลี่ยนเรื่องรถยนต์อีวี แต่เราผลิตไฟฟ้าที่มาจากพลังงานสะอาดได้ มีตัวอย่างที่ทำสำเร็จแล้วคือการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจาก “เขื่อนลำตะคอง” มีศักยภาพผลิตไฟฟ้าได้แสนเมกะวัตต์ใช้ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งจังหวัดสระบุรีใช้ไฟฟ้าเพียง 3 หมื่นเมกะวัตต์เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในพื้นที่มีอุตสาหกรรมซีเมนต์อยู่ถึง 80% ของอุตสาหกรรมทั้งหมด นอกจากนี้มองว่าในคลองระพีพัฒน์ มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ สามารถนำแผงโซลาร์ติดตั้งในคลองได้ แต่ระบบราชการไทย กระทรวงพลังงาน คมนาคมทำไม่ได้ เพราะพื้นที่ในคลองระพีพัฒน์อำนาจการดูแลเป็นของกรมชลประทาน

“นโยบายของทรัมป์จะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสิ่งที่ต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น ประเทศไทยเมื่อพึ่งตัวเองจะรวยขึ้นทันที เพระคนเราเก่งแต่ขอให้เกิดแรงขับเคลื่อน” ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี กล่าวและว่า สำหรับผู้ประกอบการที่จะลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสิ่งที่จะทำได้เลยดังนี้ 1.ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ต้องใช้สิ่งที่มีอยู่สร้างมูลค่าเพิ่ม 2 .การปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเรื่องกรีน ใช้พลังงานสะอาด
อย่างไรก็ตาม “น้ำ” จะเป็นตัวเลขขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศให้เติบโต ทั่วโลกตระหนักด้านนี้ เพราะน้ำสุดท้ายเป็นต้นทุนสำคัญสุด สำหรับประเทศไทยพูดเรื่องน้ำให้เพียงพอสำหรับกสิกรรม อุตสาหกรรม เราต้องเปลี่ยนนิยามการบริหารจัดการน้ำที่ว่าด้วยเรื่องน้ำท่วมกับน้ำแล้งเป็นน้ำมากกับน้ำน้อย ดังนั้นจึงต้องมีบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการผลิต ซึ่งลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ลุ่มต่ำ และมีการตื้นเขินตลอดเวลา จำเป็นต้องขุดลอกเพื่อให้มีพื้นที่กักเก็บน้ำ อย่างไรก็ตามการบริหารแหล่งน้ำลักษณะนี้ใช้เงินน้อยมาก ดังเช่นการขุดลอกเอาทรายออกไม่ต้องใช้เงิน มีผู้ประกอบการต้องการทราย แต่ระบบราชการไม่สามารถนำทรายไปขายได้เพราะติดว่าเป็นของหลวง เมื่อมีการขุดลอกจึงนำทรายกองไว้ที่ริมตลิ่งสุดท้ายทรายเหล่านี้ลงในแหล่งน้ำ ทำให้ตื้นเขินอีกในเวลาต่อมา ควรปรับแก้กฎหมายเพื่อนำทรัพยากรนี้ไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้.