อาหารเช้าเปรียบเสมือน “เชื้อเพลิง” มื้อแรกของวัน ที่ช่วยเติมพลังงานให้ร่างกายและสมองพร้อมสำหรับการทำงาน การงดอาหารเช้าจะส่งผลเสียในระยะสั้นและยาว
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ: ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
ระบบเผาผลาญรวน: ร่างกายจะปรับตัวเข้าสู่ “โหมดประหยัดพลังงาน” ทำให้การเผาผลาญแคลอรีในมื้ออื่นๆ ลดลง และเสี่ยงต่อการสะสมไขมันมากขึ้น
ความเสี่ยงโรคเรื้อรัง: งานวิจัยหลายชิ้นเชื่อมโยงการงดอาหารเช้า กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน
ส่วนการดื่มน้ำหลังตื่นนอนมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย เติมความชุ่มชื้นให้ร่างกายหลังการพักผ่อนยาวนาน และอาจช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด และหลีกเลี่ยงผลเสียที่ไม่พึงประสงค์ ควรใส่ใจ 3 ประเด็นสำคัญนี้
- ดื่มน้ำอุณหภูมิที่เหมาะสม: แทนที่จะดื่มน้ำเย็นจัดหรือร้อนจัด น้ำอุ่น (ประมาณ 30-40 องศาเซลเซียส) เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะอ่อนโยนต่อทางเดินอาหาร ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดความเสี่ยงของการระคายเคืองและอาการไม่สบายท้อง
- ควรดื่มน้ำให้หลากหลาย: น้ำเปล่าต้มสุกเป็นตัวเลือกพื้นฐานที่ดี แต่การเพิ่มความหลากหลายด้วย น้ำแร่ น้ำมะพร้าว หรือน้ำผสมมะนาว ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็น เช่น วิตามินซีจากน้ำมะนาวที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
- สังเกตปฏิกิริยาของร่างกายหลังดื่มน้ำ : หากรู้สึกไม่สบายท้อง คลื่นไส้ หรือท้องอืด นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณกำลังปรับตัว หรืออุณหภูมิและประเภทของน้ำอาจไม่เหมาะสม ควรรีบหยุดดื่มทันที พักผ่อน และสังเกตอาการ หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางที่เหมาะสม
เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อการดื่มน้ำตอนเช้าที่ดีต่อสุขภาพ:
ค่อยๆ จิบ: แทนที่จะดื่มน้ำแก้วใหญ่รวดเดียว ควรค่อยๆ จิบในปริมาณที่พอเหมาะ (ประมาณ 150-200 มิลลิลิตรต่อครั้ง) เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ดูดซึม
รอสักครู่ก่อนทานอาหารเช้า: หลังดื่มน้ำ ควรเว้นระยะประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ก่อนเริ่มมื้อเช้า เพื่อไม่ให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักเกินไป
เลือกอาหารเช้าที่มีประโยชน์: เสริมมื้อเช้าด้วยอาหารที่มีกากใยสูง ย่อยง่าย เช่น ข้าวโอ๊ต โฮลวีท และผลไม้ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน
ที่มาและภาพ : sohu, freepik
