ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา สส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ไม่ตามไปเป็นพรรคก้าวไกล เลือกอยู่พรรคอื่น ล้วนสอบตกทั้งสิ้น จนว่ากันว่า สส.ของพรรคประชาชน (ปชน.) หรือก้าวไกลเก่านั้น อาศัยคะแนนพรรคมากกว่าตัวบุคคล และเมื่อเกิดการสั่งสอนงูเห่าแล้ว คงไม่มีใครย้ายอีก แต่ต่อมา นายยอดชาย พึ่งพร สส.ชลบุรี เขต 9 (พัทยา-หนองปรือ) พรรค ปชน. กล่าวในระหว่างการเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยนายนิยม เที่ยงธรรม ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหนองปรือ เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ว่า มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งยื่นข้อเสนอให้เงิน 55 ล้านบาท พร้อมเงินเดือนเพิ่มอีกเดือนละ 250,000 บาท รถตู้ยี่ห้อหรูอีก 1 คัน เพื่อให้ย้ายไปอยู่ในสังกัดพรรคเขา

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการสร้างความสำคัญให้ตัวเองเกินความเป็นจริง และอาจส่งผลให้ สส.ปชน. ในพื้นที่ จ.ชลบุรี เกิดความเสียหาย และเรียกร้องให้นายยอดชาย ออกมาชี้แจง แต่ขณะเดียวกัน มีข่าวพรรคการเมืองซีกรัฐบาลหลายพรรคติดต่อทาบทาม สส.ชลบุรี พรรค ปชน. ที่มี 7 คนจาก 10 คน ให้ไปร่วมงานด้วยเพื่อเติมเสียงต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงเวลาที่มีการปรับ ครม.ซึ่งตามข่าวคือเดือน มิ.ย.นี้
สส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี เขต 6 พรรค ปชน. ค่อนข้างชัดเจนว่าจะไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาส่วนตัว ทัศนคติเข้ากับพรรคและ สส.ของพรรคไม่ได้ จุดแตกหักคือ กฤษฎิ์ได้ยื่นขอหารือบางประเด็นในสภา แต่พรรคมองว่าไม่เหมาะสม เรียกเข้าห้องเย็นไปพูดคุยทำความเข้าใจ จึงทำให้เขาไม่พอใจ และยังมีปัญหาขัดแย้งกับทีมงานพรรค จ.ชลบุรี จนที่สุดแล้วได้ทำหนังสือถึงพรรคว่า ขอยุติบทบาททางการเมืองกับพรรค ปชน.

รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากพรรคกล้าธรรมแล้ว ยังมีตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทยติดต่อเจรจาให้ สส.กฤษฎิ์ ร่วมงานกับพรรค นอกจากนี้ยังมีตัวแทนรัฐมนตรี จากพรรครวมไทยสร้างชาติที่ดูแลชลบุรี (คาดว่าคือนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์) ทาบทาม น.ส.กฤษฎิ์ ให้มาร่วมงานด้วย ซึ่ง สส.กฤษฎิ์ให้ตัวแทนของ รมช.คนดังกล่าวไปเจรจากับพรรคกล้าธรรมเอง เพราะเบื้องต้นได้ตกลงร่วมงานกับพรรคกล้าธรรมแล้ว

มีข่าวว่า สส.ชลบุรี พรรค ปชน. อีก 2-3 ราย อาจจะไปร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่น ขณะที่ในส่วนของนายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี เขต 8 พรรค ปชน. ซึ่งเป็น สส.มาแล้ว 2 สมัย จะไม่ลงเลือกตั้งในสมัยหน้าเพราะอิ่มตัวทางการเมือง ส่วนนายยอดชายที่เป็นคนเปิดประเด็นการดูด สส.ยืนยันว่าจะอยู่กับพรรคต่อไป รวมถึง สส.เนม สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี ก็บอกว่า ยังอยู่กับพรรค ปชน.และย้ำว่า สีส้มในพื้นที่ภาคตะวันออกยังเป็นปึกแผ่นกันดี

แหล่งข่าวจาก ปชน.กล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรค ปชน.ในเวลานี้เหมือนเป็นแผนการรุมกินโต๊ะทำลายพรรคเพื่อเตรียมความพร้อมของซีกรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า โซนภาคตะวันออก พรรค ปชน.มี สส. 17 คน จากจำนวน 29 เก้าอี้ทั่วทั้งภาค เป็น สส.ฉะเชิงเทรา 1 คน สส.ชลบุรี 7 คน ชนะยกจังหวัดคือ ระยอง 5 คน จันทบุรี 3 คน และตราด 1 คน ซึ่งในพื้นที่ จ.ชลบุรี พรรคเพื่อไทย ยกให้พรรค รทสช. และพรรคกล้าธรรมจับมือแบ่งพื้นที่กัน ขอความร่วมมือจากบ้านใหญ่พรรคประชาธิปัตย์เจาะพื้นที่ จ.ระยอง ขณะที่พรรคเพื่อไทยพุ่งเป้าที่ จ.สมุทรปราการ ที่พรรค ปชน.ชนะยกจังหวัดเช่นกัน”

เมื่อผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปที่ สส.กฤษฎิ์ เจ้าตัวยืนยันว่า การไปร่วมกับกล้าธรรมเป็นความจริง แต่ขอนัดหมายแถลงยุติบทบาทการทำงานกับพรรค ปชน. วันที่ 13 พ.ค. เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา จะอธิบายจุดแตกหักทั้งหมด ซึ่งได้ส่งหนังสือแจ้งให้กับนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรครับทราบแล้ว ตั้งแต่เดือน เม.ย.
“เจ๊เจี๊ยบ” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งเพิ่งประกาศวางมือทางการเมือง ภายหลังพรรค ปชน.ไม่สามารถชนะเลือกตั้งเทศบาลนครนครปฐมได้ โพสต์เฟซบุ๊กกรณี น.ส.กฤษฎิ์ จะย้ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรม ว่า “เป็นงูเห่าซ้ำซากในเขตเดิม ซ้ำเติมประชาชนที่เคยผิดหวังมาแล้ว ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าคำว่าชาติชั่วสารเลว”

นายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. พรรค ปชน.ซึ่งเป็น สส.รุ่นเดียวกันกับ สส.กฤษฎิ์ ได้แชร์ข่าวและเขียนข้อความลงบน X ว่า “อยากเอาเบบี้ออยล์ ราดหน้า” มีประชาชนโดยเฉพาะชาว อ.ศรีราชา และพื้นที่อื่นๆ ของ จ.ชลบุรี แสดงความเห็นในเฟซบุ๊กช่องแสดงความเห็นของ สส.กฤษฎิ์อย่างถล่มทลาย ให้เจ้าตัวลาออกจากตำแหน่ง สส. เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ผิดหวังที่เลือกเข้าสภา สาเหตุที่เลือกเพราะความพรรคเป็นพรรคก้าวไกล ไม่ได้เลือกเพราะตัวคน

สำหรับความคืบหน้าคดีฮั้ว สว. ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ได้รับการเปิดเผยจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณี ความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว. รวมถึงกรณีอั้งยี่ ว่า พงส.พบว่ามีเส้นทางการเงินและพฤติการณ์ของการกระทำความผิด มีลักษณะเป็นคณะบุคคลที่มีการตระเตรียมการเพื่อกระทำผิดกฎหมาย ตาม ป.อาญา ม. 209 “ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท”
คดีฟอกเงิน อั้งยี่นี้ ดีเอสไอจะดำเนินการตรวจสอบคู่ขนานไปกับกฎหมายการเลือกตั้ง โดยคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนออกหมายเรียก 55 สว. เชิญรับทราบข้อหาความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 คดีฟอกเงิน อั้งยี่ ค่อนข้างมีความคืบหน้าพอสมควร โดยเฉพาะมีการสอบสวนพยานปากสำคัญรายใหญ่ที่ให้ข้อมูลเรื่องขบวนการจัดฮั้ว จัดตั้งคณะบุคคล หรือแม้กระทั่งกลุ่มชาวบ้านตามพื้นที่ท้องถิ่นจังหวัดต่าง ๆ ที่เข้าไปร่วมในขบวนการ

คำให้การของพยานค่อนข้างบ่งบอกถึงการแบ่งหน้าที่กันทำ ความเกี่ยวข้อง บทบาทของกลุ่มตนเองในขบวนการ หรือคนที่เข้ามาหา มาจูงใจ ชักชวน เชิญชวนให้สมัคร ให้กาหมายเลขตามโพย เป็นต้น ดีเอสไอพบข้อเท็จจริงว่า ส่วนใหญ่ไม่ใช่การถูกหลอกให้โหวตหรือพลีชีพ หรือเชื่อไปว่าเมื่อกาหมายเลขผู้สมัครตามโพยแล้ว ตนเองก็จะได้รับการเลือกเช่นเดียวกัน แต่เพราะพยานหลักฐานมันมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง มีการตกลงกันเกิดขึ้น มีการใช้เงินเพื่อให้เลือกลงคะแนน เป็นการใช้เงินมาจูงใจ มีการให้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น
ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 จะเริ่มทยอยออกหมายเรียกผู้ต้องหาให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาภายในสิ้นเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งอาจมีทั้ง สว. และกลุ่มขบวนการจัดฮั้วระดับประเทศ ขณะที่ รายงานข่าวจาก ปปง. เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ว่า หากพิจารณาจากความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พบว่า “ความผิดเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมที่มีกฎหมายกำหนดเป็นความผิด” และ “ความผิดเกี่ยวกับการกระทำการเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใด ๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนน หรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา” ถือเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

หากมีการชี้มูลจากหน่วยงานตรวจสอบ ทั้ง กกต.และดีเอสไอ หน่วยงานที่สอบสวนก็จะรวบรวมรายการทรัพย์สินต่างๆ ที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำผิดฟอกเงิน นำส่งให้ ปปง. โดยคณะกรรมการธุรกรรมได้พิจารณาใช้ดุลพินิจว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด เพื่อออกคำสั่งตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งอายัดทรัพย์สินชั่วคราว หรือคำสั่งยึดทรัพย์สิน ซึ่งคดีนี้จะส่งสำนวนให้อัยการ เพื่อขอศาลให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน.
“ทีมข่าวการเมือง”