เรื่องราวของคุณป้าหลี่ วัย 58 ปี ที่หลังเกษียณก็ติดซีรีส์งอมแงม ทุกคืนจะต้องแกะทุเรียนกินพร้อมดูซีรีส์ที่ชอบไปด้วย จนกระทั่งคืนหนึ่ง ป้าหลี่เกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ขาทั้งสองข้างบวม ญาติๆ ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลเป็นการด่วน
ผลตรวจเลือดออกมาปรากฏว่า ค่าโพแทสเซียมในเลือดของป้าหลี่สูงถึง 6.8 mmol/L (ค่าปกติไม่เกิน 5.5) ส่วนค่าครีอะตินินสูงกว่าค่าปกติถึง 3 เท่า แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง จนทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
“ถ้ามาช้ากว่านี้อีกหน่อย หัวใจอาจจะหยุดเต้นไปแล้ว!” แพทย์เจ้าของไข้ถึงกับถอนหายใจ เมื่อดูผลตรวจสุขภาพย้อนหลังของป้าหลี่ พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดขณะท้องว่างเพิ่มจาก 5.8 mmol/L เป็น 8.1 mmol/L ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ไตรกลีเซอไรด์ก็สูงเกินค่าปกติเกือบ 3 เท่า แถมความดันโลหิตตอนกลางคืนยังพุ่งสูงถึง 180/110 mmHg
สาเหตุหลักมาจากทุเรียน ที่ป้าหลี่ชื่นชอบนั้น มีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 28% (เทียบเท่ากับน้ำตาลทรายประมาณ 3 ช้อนชาต่อ 100 กรัม) และมีโพแทสเซียมสูงถึง 430 มิลลิกรัม ซึ่งเปรียบเสมือนอาหารเสริมเข้มข้น ยิ่งไปกว่านั้น ป้าหลี่ยังทานยาลดความดันโลหิตก่อนนอนเป็นประจำ เมื่อสองปัจจัยนี้รวมกัน หัวใจจึงทำงานหนักจนเครื่องเกือบจะน็อกเลยทีเดียว
5 ผลไม้ที่ไม่ควรกินตอนกลางคืน

ทุเรียน: มีน้ำตาลสูงถึง 28 กรัมต่อ 100 กรัม (≈ น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา) และโพแทสเซียมสูงถึง 430 มิลลิกรัม เปรียบเสมือน “น้ำเชื่อมเข้มข้น” การกินก่อนนอนไม่เพียงแต่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และไขมันสะสม แต่ยังอาจทำให้โพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกินทุเรียนร่วมกับยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE inhibitors (เช่น ยาที่มีชื่อลงท้ายด้วย -pril) จะยิ่งเพิ่มภาระให้กับหัวใจอย่างมาก

ลิ้นจี่: มีปริมาณน้ำตาลฟรุกโทสสูงถึง 16% ซึ่งร่างกายจะเผาผลาญได้ช้าลงในเวลากลางคืน การกินลิ้นจี่ขณะท้องว่าง หรือกินในปริมาณมาก (> 10 ผล) อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ใจสั่น และหมดสติในเวลากลางคืนได้ นอกจากนี้ ลิ้นจี่ยังมีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (Glycemic Load = 15) ซึ่งกระตุ้นการหลั่งอินซูลินอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงต่ำกว่าปกติในภายหลัง หรือที่เรียกว่า “ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำแบบรีแอคทีฟ”

มะม่วง: มีน้ำตาล 14% และมีสารก่อภูมิแพ้สูง คือ สาร “urushiol” การกินมะม่วงก่อนนอน จะยิ่งทำให้ร่างกายที่มีภาวะเสมหะมากอยู่แล้ว มีอาการแย่ลง เช่น เจ็บคอ และผิวหนังคัน สำหรับคนที่มีภาวะร่างกายร้อนชื้น การกินมะม่วงตอนกลางคืน อาจทำให้เกิดอาการบวมบริเวณเปลือกตาและขาในวันรุ่งขึ้น

อะโวคาโด: อะโวคาโด 1 ผล ให้พลังงานเทียบเท่าข้าวสวย 1 ถ้วย และมีไขมันสูงถึง 15% (มากกว่าเนื้อสันในหมู) การกินอะโวคาโดในเวลากลางคืน จะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้นโดยตรง หากกินร่วมกับอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้นทอด อาจทำให้เลือดข้นหนืดคล้ายน้ำโจ๊ก และเพิ่มความเสี่ยงของโรคตับอ่อนอักเสบ

มังคุด: มีฤทธิ์เย็นและมีน้ำตาลสูงถึง 17% การกินมังคุดก่อนนอนอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะกรดไหลย้อน ทำให้เกิดอาการปวดท้องและท้องเสียได้ สำหรับคนที่มีภาวะม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอ การกินมังคุดตอนกลางคืน อาจทำให้ท้องเสียอย่างรุนแรงในวันรุ่งขึ้น และดื่มน้ำอุ่นก็อาจช่วยบรรเทาอาการได้ยาก
5 ผลไม้แนะนำให้ทานตอนกลางคืนได้ โดยเฉพาะผู้สูงวัย
แอปเปิล: มีใยอาหารสูง (เพคติน) ซึ่งช่วยดูดซับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว และมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและปกป้องหัวใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ
วิธีทาน: นำไปนึ่งทั้งเปลือก (เพื่อทำให้ใยอาหารนิ่มขึ้น) หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกับข้าวโอ๊ต ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
บลูเบอร์รี: มีสารแอนโทไซยานินสูงถึง 163 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าองุ่นถึง 4 เท่า ช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของต้อกระจกและตาแห้ง รวมถึงชะลอความเสื่อมของสมอง
วิธีทาน: กินวันละ 50 กรัม (ประมาณ 10 ผล) โรยบนโยเกิร์ตไขมันต่ำ หรือนำไปแช่แข็งแล้วปั่นเป็นสมูทตี้ เพื่อลดปริมาณน้ำตาลที่ได้รับ
กีวี: มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 2 เท่า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและบรรเทาอาการปวดข้อ และมีโพแทสเซียมสูง (320 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) ซึ่งช่วยขับโซเดียมและลดความดันโลหิต
วิธีทาน: ผ่าครึ่งแล้วใช้ช้อนตักกิน หลีกเลี่ยงการสัมผัสฟันโดยตรงหากมีอาการเสียวฟัน กินคู่กับถั่วเปลือกแข็ง (เช่น อัลมอนด์) เพื่อชะลอการดูดซึมน้ำตาล
ส้มโอ: มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (GI = 25) และมีสาร “naringenin” ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ เนื้อส้มโอยังมีโพแทสเซียม (119 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) ซึ่งช่วยปรับสมดุลอิเล็กโทรไลต์
วิธีทาน: กินวันละ 1 กลีบ (ประมาณ 100 กรัม) หลีกเลี่ยงการกินพร้อมกับยาลดความดันโลหิต เพราะอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยา
กล้วย: มีโพแทสเซียมสูง (422 มิลลิกรัมต่อผล) และแมกนีเซียมสูง (32 มิลลิกรัมต่อผล) ช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อในเวลากลางคืน และป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ยังให้พลังงานอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับกินหลังออกกำลังกายหรือเมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
วิธีทาน: ปั่นเป็นสมูทตี้กับนม เพื่อลดอาการกรดไหลย้อน สำหรับคนที่มีอาการท้องเย็น สามารถนำไปอุ่นในไมโครเวฟประมาณ 10 วินาทีก่อนกิน
เตือน! ผลไม้หั่นขายตามข้างทาง… ภัยร้ายใกล้ตัว!
ผลไม้หั่นที่วางขายตามข้างทาง ดูสวยงามน่ากินและสะดวกสบาย แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นแหล่งสะสมของ “เชื้อโรค” และ “สารตกค้างจากยาฆ่าแมลง” เมื่อผลไม้ถูกหั่น เปลือกซึ่งเป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติจะหายไป ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้เร็วกว่าผลไม้ที่ยังมีเปลือกหลายเท่า จากการวิจัยพบว่า ภายใต้อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส แบคทีเรียซัลโมเนลลาและอีโคไลในผลไม้หั่น สามารถเพิ่มจำนวนได้ถึง 4 เท่าภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคอาหารเป็นพิษอย่างมาก
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ผู้ค้าบางรายอาจนำผลไม้ที่เน่าเสียมาตัดแต่งเพื่อลดต้นทุน แม้จะตัดส่วนที่เน่าออกไปแล้ว แต่สารพิษจากเชื้อรา เช่น พาทูลิน (Patulin) และโอคราท็อกซิน เอ (Ochratoxin A) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งร้ายแรง อาจซึมเข้าไปในเนื้อผลไม้ส่วนที่ยังดูดีได้ นอกจากนี้ หากมีดและเขียงไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง การหั่นผลไม้ที่มีเปลือกก่อน แล้วนำมาหั่นเนื้อผลไม้โดยไม่ล้างทำความสะอาด อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนได้ง่าย
ควรเลือกซื้อผลไม้ที่หั่นสดๆ และเก็บรักษาในตู้เย็น สังเกตความสดใหม่และไม่มีรอยช้ำ หรือเลือกซื้อผลไม้ทั้งผลมาล้างด้วยน้ำไหลผ่าน พร้อมถูเบาๆ นานกว่า 30 วินาที หากจำเป็นควรปอกเปลือกก่อนกิน ในช่วงฤดูร้อน หากผลไม้หั่นไม่ได้แช่เย็นนานเกิน 1 ชั่วโมง ควรทิ้งทันที สุขภาพเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม อย่าปล่อยให้ความ “สะดวก” กลายเป็น “ความเสี่ยง”!.
ที่มาและภาพ : sohu, freepik