เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท 77/2567 ระหว่างอัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 เป็นโจทก์ ฟ้อง พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง อคส. จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 21 คน
ข้อกล่าวหา
โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานองค์การคลังสินค้า ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง โดยมีจำเลยที่ 2 บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคล และจำเลยที่ 3 กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ส่วนจำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า และจำเลยที่ 5 เป็นพนักงานองค์การคลังสินค้า ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนงานการตลาดดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีจำเลยที่ 6 ถึงจำเลยที่ 17 และจำเลยที่ 19 ถึงจำเลยที่ 21 เป็นบุคคลธรรมดา และจำเลยที่ 18 บริษัท ไทย สไมล์ เทรด จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคล ทั้งหมดเป็นผู้เกี่ยวข้องในการซื้อหรือขายถุงมือยางกับองค์การคลังสินค้า
จำเลยทั้ง 21 คน ได้ร่วมกันแบ่งหน้าที่และให้การช่วยเหลือสนับสนุนในการกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 1, 4, และ 5 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ และพนักงานในหน่วยงานของรัฐ ได้กระทำความผิดโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ในการทุจริต ด้วยการร่วมกับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 ถึงจำเลยที่ 21 นำบริษัท ไทย สไมล์ เทรด จำกัด จำเลยที่ 18, GALORE MANAGEMENT, LLC และ KRENEK LAW OFFICES, PLLC ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในการค้าขายถุงมือยางเข้ามาเป็นผู้ซื้อถุงมือยางจากองค์การคลังสินค้า ทั้งที่ยังไม่ได้มีการวางหลักเกณฑ์หรือระเบียบในการจัดหาและจำหน่ายสินค้า
จากนั้นได้เร่งรีบเสนอโครงการจัดซื้อถุงมือยางโดยที่ไม่ได้อยู่ในแผนการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่เผยแพร่ในเว็บไซต์ขององค์การคลังสินค้า ไม่ติดประกาศในที่เปิดเผย ไม่มีราคาอ้างอิง โดยใช้ข้ออ้างว่ามีลูกค้ารองรับ ซื้อต่อล่วงหน้าแล้ว เพื่อมุ่งหมายและมีวัตถุประสงค์ที่จะเอื้ออำนวยให้บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 เข้าทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางกับองค์การคลังสินค้า โดยไม่ต้องแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น อันเป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม รวมทั้งเพื่อเป็นข้ออ้างในการถอนเงินขององค์การคลังสินค้าที่ได้ฝากประจำไว้ยังสถาบันการเงินไปจ่ายเป็นเงินล่วงหน้า
นอกจากนี้ยังไม่ดำเนินการส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดให้ความเห็นชอบ อีกทั้งยังได้อนุมัติให้ทำสัญญาและอนุมัติให้จ่ายเงินโดยไม่มีอำนาจ อันเป็นการดำเนินการเพื่อให้ได้เงินจากองค์การคลังสินค้าไป เพื่อประโยชน์แก่บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จำเลยที่ 2 โดยมิชอบ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การคลังสินค้า และราชการอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้องค์การคลังสินค้าได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 2,000,000.00 บาท และดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ถอนเงินฝากจากบัญชีองค์การคลังสินค้าก่อนกำหนดเพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินล่วงหน้า จำนวน 3,770,491.80 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับความเสียหาย 2,003,770,491.80 บาท การกระทำของจำเลยทั้ง 21 คน ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4, 8 และ 11 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 11 และ 12 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86
จำเลยทั้ง 21 คน ให้การปฏิเสธ
คำพิพากษาและเห็นแย้ง ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีความเห็นแย้งไว้ด้วย สรุปความได้ว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการไต่สวนชี้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งแปดในโครงการจัดซื้อสินค้า เป็นการกระทำโดยทุจริตที่ร่วมกันจัดทำเอกสารปลอม และรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ เพื่อให้มีการอนุมัติและเบิกเงินสำหรับโครงการดังกล่าว โดยไม่มีการจัดซื้อสินค้าจริง หรือมีการจัดซื้อสินค้าแต่ไม่มีการส่งมอบสินค้าครบถ้วนตามสัญญา หรือมีการส่งมอบสินค้าที่มีราคาแพงเกินสมควร
มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ตั้งแต่การจัดทำเอกสารเสนอโครงการ การอนุมัติโครงการ การเบิกจ่ายเงิน ไปจนถึงการรับเงิน โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ มีหลักฐานเอกสารที่แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติในการดำเนินโครงการ รวมถึงพยานหลักฐานที่ยืนยันว่าจำเลยได้กระทำการทุจริตตามที่กล่าวหา การกระทำของจำเลยทำให้รัฐได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีความเห็นแย้งว่า จำเลยทั้งหมดควรกระทำความผิดในข้อหาทุจริตและประพฤติมิชอบ เนื่องจากพฤติการณ์และพยานหลักฐานบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต และได้ร่วมกันกระทำความผิดจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐอย่างร้ายแรง