เกือบ 2 ปี ภายใต้ระบอบ “ทักษิณ” ผ่านรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน”  ต่อด้วย  “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งที่เป็นจุดขายของพรรคเพื่อไทย  มิหนำซ้ำ ยังสร้างความขัดแย้งในบ้านเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้าง

เช่น ถูกกล่าวหาทำลายกระบวนการยุติธรรมจากปมนักโทษ ชั้น 14  รวมถึงสร้างความขัดแย้งในสังคมเรื่อง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ กาสิโน และสงครามพรรคแดง VS น้ำเงิน กรณีปมฮั้วเลือกตั้ง สว.  ที่กำลังไล่ต้อนฝ่ายน้ำเงินให้กลายเป็นจำเลยสังคม ขณะที่ฝ่ายค้านไม่ได้ตรวจสอบประเด็นเหล่านี้ อย่างเข้มข้น

จนเป็นเหตุให้ภาคประชาชน  ผสมศัตรูหน้าเก่า และองค์กรต่างๆเริ่มออกมาสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ เพิ่มเติมด้วยอิทธิฤทธิ์ “ตุลาการภิวัฒน์”

ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ “ยิ่งลักษณ์” ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี เป็นเงินจำนวนกว่า 10,028 ล้านบาท   โดยกลับความเห็นของ ศาลปกครองกลาง ที่ตัดสินว่าคำสั่งกระทรวงการคลังไม่ชอบ และอดีตนายกฯ ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 

การตัดสินของศาลปกครองสูงสุดเป็นแนวทางเดียวกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เคยพิพากษาให้  “ยิ่งลักษณ์” จำคุก 5 ปี จากการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในโครงการรับจำนำข้าว  

ยังสอดคล้องกับ ตำคัดสินของ “บุญทรง” เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์  และ “เสี่ยเปี๋ยง” อภิชาต จันทร์สกุลพร ที่ถูกตัดสิน และจำคุกจริงมาแล้ว และต้องชดใช้ค่าเสียหายหลายหมื่นล้านบาท

แม้คนในรัฐบาลอย่าง “ภูมิธรรม” เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม จากพรรคเพื่อไทย จะรีบตัดบทว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง  เพราะไม่อยากให้พลพรรคสีแดง ต้องเสียขวัญ เพราะยังมีคดีสำคัญอื่นๆที่กำลังทยอยตามมา  เพื่อไล่เช็กบิลคนทางฝั่งพรรคเพื่อไทย  

สวนทางกับท่าทีของ “ยิ่งลักษณ์” และ “พรรคเพื่อไทย” เล่นอีกบท โดยออกมาขอความเห็นใจจากประชาชน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากความไม่ยุติธรรม ที่เกิดจากระบบรัฐประหาร  ซึ่งก็ต้องดูว่าหลังจากนี้ ทนายความ จะหาช่องรื้อฟื้นคดีด้วยหลักฐานใหม่ได้หรือไม่

แต่ผลทางการเมืองที่ออกมา ย่อมไม่สู้ดี แก่คนในตระกูลชินวัตรอย่างแน่นอน  เริ่มที่  “ยิ่งลักษณ์” โอกาสการกลับประเทศไทย ยากยิ่งขึ้นเป็นสองเท่า  เพราะต้องเสียค่าเข้าประเทศหมื่นล้านบาท รวมถึงรับโทษ จำคุก 5 ปี  ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องยาก และซับซ้อนที่ใครจะเข้ามาช่วยเหลือ เช่น ออกกฎหมายนิโทษกรรม หรือ จำคุกที่บ้าน  

เช่นเดียวกับ “พี่ชาย”  ก็อาจได้รับผลลบโดยตรง จากสัญญาณในคดี “น้องสาว” ที่กำลังเข้าสู่กระบวนการของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  ที่นัดไต่สวนกรณีรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 13 มิ.ย. ว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาจำคุก 1ปี ถูกต้องหรือไม่  หลังแพทยสภา มีมติว่า ลงโทษแพทย์ 3 คนให้ข้อมูลการรักษา “ทักษิณ” ไม่ตรงกับความจริง จึงมีโอกาสที่ศาลฯ จะสั่งให้กลับไปติดคุกจริงหรือไม่  

รวมถึงก่อนหน้านี้  “นายใหญ่”    ศาลอาญา ก็ยกคำร้องถึงสองรอบ ไม่อนุญาตให้จำเลยคดีมาตรา 112  ออกนอกประเทศ  พบกับ “โดนัล ทรัมป์”  ที่ประเทศกาตาร์ เพื่อเจรจาเรื่องกำแพงภาษี  เพราะเกรงว่าจะหนีคดีอีกเช่นเคย 

ฉะนั้นหากผลสุดท้าย 2 อดีตนายกฯ “ตระกูลชินวัตร”  ต้องกลับมา ติดบ่วง “ตุลาการภิวัฒน์” หรือ “นิติสงคราม” แบบเดิมๆ เหมือน 10 -20 ปีอีกครั้ง คำถามที่ตามมา “นายกฯแพทองธาร” ที่ถูกกระชับวงล้อม จากผลพวงดีลลับของ “พ่อ” และ “อา” จนจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทยเป็นผลสำเร็จจะไปต่อได้หรือไม่ หรือต้องยอมจำนนพอแค่นี้