มาแล้วค่า “นูน่าเมี้ยน” มาพบกับแฟนๆ “บันเทิงเดลินิวส์” ที่น่ารักทุกคนแล้วนะคะ เช่นเคยนูน่าก็ยังขนเอาข่าวสารของวงการบันเทิง K-Pop นักแสดง ไอดอลเกาหลีที่น่าสนใจในรอบสัปดาห์มาอัปเดตกันแบบคลูซีฟกันเป็นประจำทุกสัปดาห์ กับคอลัมน์สุดฮอตอย่าง “SeoulStation” โดยสัปดาห์นี้นูน่าขอร่วมฉลอง “ครบรอบ 10 ปี” การเดบิวต์ของวงบอยกรุ๊ประดับโลกขวัญใจแฟนๆ อย่างหนุ่มๆ “SEVENTEEN” ซึ่งประกอบไปด้วยศิลปินมากความสามารถ 13 คน ประกอบไปด้วย “เอสคูปส์” (S.Coups), “จองฮัน” (Jeonghan), “โจชัว” (Joshua), “จุน” (Jun), “โฮชิ” (Hoshi), “วอนอู” (Wonwoo), “อูจี” (Woozi), “ดิเอท” (The8), “ดีเค” (DK), “มินกยู” (Mingyu), “ซึงกวาน” (Seungkwan), “เวอร์นอน” (Vernon) และ “ดีโน่” (Dino) ซึ่งพวกเขาทั้ง 13 คนได้รับความนิยมจากผู้ชมจำนวนมากนับตั้งแต่เปิดตัวและเติบโตจนกลายเป็น กลุ่มเคป็อปที่ “ได้รับการยอมรับในระดับสากล” ด้วยดนตรีและการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์

แม้ระยะเวลาผ่านมาแล้วกว่า 1 ทศวรรษที่ SEVENTEEN ได้เดินทางบนเส้นทางสายดนตรีในวงการ K-POP นี้ หลังจากที่ได้เปิดตัวเดบิวต์ไปเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2015 พวกเขาก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการและได้กระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 10 ปีของวงในปีนี้ พวกเขาได้ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่ 5 “HAPPY BURSTDAY” และจัดคอนเสิร์ตพิเศษที่มีชื่อว่า “B-DAY PARTY : BURST Stage” เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปีของวง โดยงานจะจัดขึ้นในวันที่ 25 พฤษภาคม 2025 ณ สะพานจัมซู ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการจัดคอนเสิร์ต K-POP บนสะพานแห่งนี้ บอกได้เลยว่าภายในคอนเสิร์ตครั้งนี้จะตลบอบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่นโดย “กะรัต” (Carat ชื่อเรียกแฟนคลับ SEVENTEEN) รวมตัวกันกว่า 60,000 คน ครั้งนี้มีเมมเบอร์ 11 คนขึ้นแสดง เนื่องจากจองฮันและวอนอูอยู่ระหว่างเข้ากรมรับใช้ชาติ แต่สมาชิกทุกคนก็ยังแสดงอย่างเต็มที่ จัดเต็มทุกโชว์มากกว่าสิบเพลง และงานดังกล่าวได้รับการถ่ายทอดสด ซึ่งมีแฟนๆ ทั่วโลกเข้าร่วมชมพร้อมกันเป็นจำนวนมากว่า 4 ล้านคนอีกด้วย

สำหรับอัลบั้มเต็มชุดที่ 5 ที่ใช้ชื่อว่า “SEVENTEEN 5th Album ‘HAPPY BURSTDAY’” เป็นชื่ออัลบั้มที่สะท้อนถึงวันครบรอบของพวกเขา เป็นการผสมคำระหว่าง “birthday” (วันเกิด) และ “burst” (ระเบิด) สื่อถึง “การเกิดใหม่ครั้งยิ่งใหญ่” โดยไม่กลัวที่จะต้อนรับเรื่องราวบทใหม่ซึ่งจะถ่ายทอดตัวตนใหม่ในฐานะ “New SEVENTEEN” ที่ก้าวข้ามความกลัวเข้าสู่ทศวรรษใหม่อย่างมั่นคง โดยอัลบั้มนี้ประกอบด้วยเพลง 16 เพลง รวมถึงเพลงไตเติ้ลอย่าง “Thunder” และเพลงเดี่ยวจากสมาชิกแต่ละคนของวง

ระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา SEVENTEEN ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลงานเพลงที่พวกเขาปล่อยออกมาก็ทะยานขึ้นสู่ชาร์ตอับดับสูงสุด รวมทั้งสามารถทำยอดขายอัลบั้มได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกด้วย แต่กว่าที่พวกเขา “เติบโต” และก้าวมายืนอยู่บน “จุดสูงสุดของวงการ” พร้อมกับ “รักษาความนิยม” ได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางการต่อสู้ของอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง แต่ละวงก็ถูกท้าทายมากขึ้น และแต่ละปีก็มีวงหน้าใหม่เดบิวต์เข้ามาอยู่เรื่อย ๆ แต่พวกเข้าทั้ง 13 คนก็สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยก่อนเดบิวต์ที่ต้องพิสูจน์ความสามารถทั้งการทำเพลงเอง แต่งทำนอง เขียนเนื้อร้อง และท่อนแร็ป รวมถึงออกแบบท่าเต้นเองทั้งหมด แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็น “คำตอบที่ดีที่สุด” ที่พิสูจน์ว่าทำให้พวกเขา “เหมาะสม” ที่ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ พร้อมทั้งถูกยกย่อง และให้การยอมรับในฐานะ “Self-Producing Idol” (กลุ่มศิลปิน K-pop ที่สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างมากในการผลิตเพลงของพวกเขา รวมถึงการแต่งเพลง แต่งเพลง และออกแบบท่าเต้นพวก) บอกเลยเส้นทางและผลงานของพวกเขามี “บททดสอบมากมาย” ให้ได้ฝ่าฟัน และสิ่งหนึ่งที่หลายคนชื่นชมคือการที่พวกเขา “ไม่หยุดทำตามฝัน” วันนี้ “นูน่าเมี้ยน” จึงอย่าพาทุกคนมาย้อนเส้นทางจาก “13 เด็กฝึกหัด” สู่ “ศิลปินตัว Top” แห่งวงการ K-pop ไปด้วยกัน

สำหรับ “SEVENTEEN” หรือมีชื่อย่อ “SVT” เป็นบอยกรุ๊ปภายใต้สังกัด Pledis Entertainment พวกเขาเปิดตัวเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2015 ด้วยอีพีที่มีชื่อว่า “17 Carat” ซึ่งกลายเป็นอัลบั้ม K-pop ที่ติดชาร์ตยาวนานที่สุดแห่งปีในสหรัฐ และเป็นอัลบั้มหน้าใหม่เพียงอัลบั้มเดียวที่ติดอันดับ “10 อัลบั้มเคป็อปยอดเยี่ยมแห่งปี 2015” ของ Billboard โดยสมาชิกทั้ง 13 คนได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ยูนิตย่อยตามความถนัดของแต่ละคน คือ “ยูนิตฮิปฮอป” ได้แก่ เอสคูปส์, วอนอู, มินกยู และ เวอร์นอน ส่วน “ยูนิตโวคัล” ได้แก่ จองฮัน, โจชัว, อูจี, ดีเค และ ซึงกวาน และ “ยูนิตเพอร์ฟอร์แมนซ์” ประกอบไปด้วย โฮชิ, จุน, ดิเอท และ ดีโน ดังนั้นชื่อ SEVENTEEN จึงหมายถึง “สมาชิก 13 คน + ยูนิตย่อย 3 กลุ่ม + 1 ทีม” 13 สมาชิก ที่แบ่งออกเป็น 3 ยูนิตย่อยที่มีความสามารถแตกต่างกัน แต่ผสานเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว รวมกันเป็น 17 นั่นเอง โดยก่อนการเดบิวต์เมื่อปี 2013 ทางต้นสังกัดอย่าง Pledis Entertainment ได้เริ่มต้นโครงการที่มีชื่อว่า “เซเวนทีนทีวี” (SEVENTEEN TV) ซึ่งทำให้ผู้ชมได้เห็นสมาชิก SEVENTEEN (ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นศิลปินฝึกหัด) ในอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งการฝึกซ้อม การร้องเพลง การเต้น รวมไปถึงทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันภายในห้องฝึกซ้อม และมีการประเมินผลความสามารถในด้านต่าง ๆ

SEVENTEEN เดบิวต์ครั้งแรกทางช่อง MBCซึ่งเปิดตัวอย่างสวยงามด้วยเพลง “Shining Diamond” ที่แต่งเนื้อร้องและออกแบบท่าเต้นโดยสมาชิกในวง ซึ่งบ่งบอกตัวตนและจุดเริ่มต้นของ SEVENTEENได้เป็นอย่างดี พร้อมกับได้ออกอัลบั้มแรกในชื่อ “17 Carat” ทำยอดขายไปได้กว่า 50,000 ชุด ต่อมาในปีเดียวกันพวกเขาได้ปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลงแรก “Adore U” และได้ปล่อยมินิอัลบั้มชุดที่ 2 “BOYS BE” ซึ่งเปิดตัวในอันดับที่ 2 ของGAON Chart และติดชาร์ตในอันดับที่ 1 ของชาร์ตอัลบั้มBillboard Global ทำยอดขายได้มากกว่า 100,000 แผ่น ซึ่งทำให้ SEVENTEENกลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่สามารถทำยอดขายอัลบั้มได้สูงที่สุดในปี 2015 และได้ฉายาว่า “Monster Rookies” เพราะเป็นไอดอลที่ทำเองหมดทุกอย่าง หลังจากการเปิดตัวเพียง 7 เดือนก็ได้จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อว่า “2015 LIKE SEVENTEEN – Boys Wish Concert” ซึ่งเมื่อเปิดขายบัตร บัตรเข้าชมคอนเสิร์ตทั้ง 3 วันก็ถูกขายหมดภายใน 1 นาที

เริ่มต้นปี 2016 พวกเขาได้การต่อยอดความสำเร็จด้วยคอนเสิร์ตครั้งใหม่ บัตรคอนเสิร์ตทั้งหมด 7,000 ที่นั่ง สามารถขายหมดภายใน 5 นาที และได้มีประกาศ “ชื่อแฟนคลับ” อย่างเป็นทางการ โดยใช้ชื่อว่า “กะรัต” (Carat) โดย “เอสคูปส์” ได้บอกความหมายว่า “กะรัตบ่งบอกคุณค่าของเพชร ที่ทำให้ SEVENTEEN เปล่งประกาย” และ “พวกคุณคือกะรัตที่ทำให้เพชรทั้ง 13 เม็ดส่องสว่าง และเปล่งประกายบนเวที” และนับแต่นั้นเป็นต้นมา วันที่ 14 ก.พ. ของทุกปี ก็กลายเป็นวันเกิดของ “กะรัต” ที่เหล่าสมาชิกจะมาร่วมอวยพร หรือทำเซอร์ไพรส์บางอย่าง ต่อมาพวกเขาได้ปล่อยผลงานอัลบั้มเต็มชุดแรกโดยใช้ชื่อว่า “Love & Letter” อัลบั้มนี้มียอดการสั่งซื้อล่วงหน้าสูงถึง 150,000 อัลบั้ม และติดชาร์ต Oricon ในประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับการเปิดตัวในชาร์ตอัลบั้ม Billboard Globalในอันดับที่ 3 โดยเพลงไตเติ้ลหลักอย่าง “Pretty U” ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่โด่งดังที่สุดของวง และเป็นเพลงที่ทำให้ SEVENTEEN สามารถคว้ารางวัลที่ 1 ในรายการเพลงได้เป็นครั้งแรกในรายการ Show Champion หลังจากนั้นพวกเขาได้ประกาศจัดคอนเสิร์ตเอเชียทัวร์ครั้งแรกที่ใช้ชื่อว่า “SEVENTEEN 1ST ASIA PACIFIC TOUR ‘SHINING DIAMONDS’” ในสิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, ไทย, ออสเตรเลีย, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฮ่องกง, จีน และไต้หวัน หลังจากจบการโปรโมตอัลบั้มเต็มได้ไม่ถึง 3 เดือน SEVENTEEN สุดท้ายปลายปี 2016 พวกเขาได้กลับมาอีกครั้งกับมินิอัลบั้มที่ 3 “Going Seventeen”

SEVENTEEN เริ่มต้นปี 2017 ด้วยแฟนมีตติ้งครั้งแรก “SEVENTEEN 1ST FANMEETING ‘SEVENTEEN IN CARAT LAND’” ซึ่งมีจำนวนแฟนคลับเข้าชมถึง 20,000 คน หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เดินทางต่อไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อจัดคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งแรกกับ “SEVENTEEN 17 JAPAN CONCERT ‘SAY THE NAME’” ซึ่งถึอได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดตัวที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการและเป็นคอนเสิร์ตครั้งแรก แต่มีผู้เข้าชมมากถึง 68,000 คน ทำให้พวกเขาติดอันดับ “ศิลปินเคป๊อบที่มีจำนวนผู้เข้าชมคอนเสิร์ต ครึ่งแรกของปี 2017 ในประเทศญี่ปุ่น จาก ORICON” เป็นอันดับที่ 8 (ด้วยผู้เข้าชม 68,000 คน / จาก 6 โชว์) หลังจากจบทัวร์คอนเสิร์ตพวกเขาก็คัมแบ๊กอีกครั้งด้วยมินิอัลบั้มที่ 4 ในชื่อ “Al1” ด้วยเพลงไตเติ้ล “Don’t Wanna Cry” การคัมแบ๊กครั้งนี้ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากทั้งเรื่องเพลง และท่าเต้นที่ได้อันดับ 1 ท่าเต้นของวงบอยกรุ๊ปที่มีความยากที่สุด และได้ขึ้นไปอยู่อันดับที่ 10 ศิลปินชายที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในสัปดาห์แรก จำนวนกว่า 192,300อัลบั้ม และเป็นมิวสิควิดีโอเพลงแรกของวงที่มียอดเข้าชมมากกว่า 200 ล้านครั้ง

หลังจากเปิดตัวครบ 2 ปี SEVENTEEN ได้จัดเวิลด์ทัวร์ครั้งแรกที่มีชื่อว่า “SEVENTEEN 1ST WORLD TOUR ‘DIAMOND EDGE’” ที่เริ่มต้นที่ประเทศเกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ไทย, ฮ่องกง, สหรัฐอเมริกา, นิวยอร์ก, ชิลี, แคนาดา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังได้เผยแพร่รายการรายการวาไรตี้ออนไลน์ “Going Seventeen” โดยนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับศิลปินที่หลากหลาย ตั้งแต่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การทำงาน การพักผ่อน รวมไปถึงการทำกิจกรรมต่างๆ ที่พวกเขาได้รับมอบหมาย โดยตลอดเวลาที่รายการออกอากาศนั้นมักจะได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกเสมอ จนถึงขั้นถูกสื่อดังยกให้เป็รรายการวาไรตี้ออน์ไลน์แห่งชาติเลยทีเดียว และเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม “มินกยู” ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเพื่อถ่ายทำละครเรื่องแรก ซิตคอม “หลวงตามหาชน” ซึ่งถือเป็นการแสดงความสามารถด้านการแสดงครั้งแรกของสมาชิก พร้อมกับได้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อแสดงคอนเสิร์ต “1ST WORLD TOUR ‘DIAMOND EDGE IN BANGKOK” พวกเขาจบเวิลด์ทัวร์ครั้งแรกด้วยจำนวนผู้ชมมากกว่า 200,000 คน ซึ่งถือเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ต่อมาพวกเขากลับมาด้วยอัลบั้มเต็มที่ 2 “TEEN, AGE” ด้วยเพลงไตเติ้ลที่ชื่อว่า “CLAP” กับดนตรีที่แปลกใหม่จังหวะร็อกสนุก ๆ และท่าเต้นที่มีเอกลักษณ์ เรียกได้ว่าเป็นซิงเกิลที่สร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ แต่ยังคงความสดใสและทรงพลังในแบบฉบับของพวกเขาเลย

เริ่มต้นปี 2018 SEVENTEEN จัดงานแฟนมีตติ้งครั้งที่ 2 พร้อมคัมแบ๊กด้วยอัลบั้มพิเศษ “Director’s Cut” ก่อนที่จะทัวร์คอนเสิร์ต 3 เมืองของประเทศญี่ปุ่น โยโกฮามะ โอซากะ และนาโงยะ หลังจากนั้นได้ปล่อยเพลงประกอบละคร Mother มีชื่อว่า “Kind of Love” เป็นการเปิดตัวการร้องเพลงประกอบละครเป็นครั้งแรกของ “ซึงกวาน” จากนั้นได้มีการเปิดตัวยูนิตพิเศษ “BooSeokSoon” หรือ “BSS” ประกอบด้วย ซึงกวาน, ดีเค และโฮชิ พร้อมปล่อยดิจิทัลซิงเกิล “Just Do it” และ SEVENTEENก็ได้เดบิวต์อย่างเป็นทางการที่ญี่ปุ่นกับอีพีอัลบั้ม “We Make You” มียอดขายอัลบั้มรวม 7 วันแรกมากกว่า 120,000 อัลบั้ม ตามมาด้วย “Happy Ending” ซิงเกิ้ลญี่ปุ่นซิงเกิ้ลแรก ซึ่งได้รับรางวัลแพลทินัมจากสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงแห่งประเทศญี่ปุ่น (Recording Industry Association of Japan หรือ RIAJ) ต่อมาพวกเขากลับมาด้วยมินิอัลบั้มชุดที่ 5 “YOU MAKE MY DAY” ซึ่งอัลบั้มนี้ติด 10 อันดับแรก มากกว่า 10 ประเทศทั่วโลกใน iTunes Chart และเป็นอัลบั้มขายดีอันดับ 1 ประจำเดือนกรกฎาคมใน Gaon Chart มากถึง 350,000 อัลบั้ม และยังได้รับการรับรองเป็น ALBUM PLATINUM จาก Gaon Chart เป็นอัลบั้มแรกเช่นกัน หลังจากจบการโปรโมตก็ได้เริ่มต้นทัวร์คอนเสิร์ต “2018 SEVENTEEN CONCERT TOUR ‘IDEAL CUT’”

ส่วนในปี 2019 พวกเขากลับมาด้วยมินิอัลบั้มชุดที่ 6 “YOU MADE MY DAWN” โดยมีเพลง “HOME” เป็นเพลงที่ใช้ในการโปรโมต มียอดขายอัลบั้มมากกว่า 400,000 อัลบั้ม เป็นอันดับ 1 ประจำเดือนมกราคมใน Gaon Chart และสามารถสามารถคว้าถ้วยจากรายการเพลงหลักของเกาหลีทั้ง 5 รายการ ได้แก่ Music Bank, Inkigayo, M Countdown, Show! Music Core, และ Show Champion เป็นเวลา 3 สัปดาห์ต่อกัน กวาดไปทั้งหมด 10 ถ้วยในการโปรโมตเพลงครั้งเดียว ต่อมาพวกเขาได้เประกาศเวิลด์ทัวร์ “SEVENTEEN WORLD TOUR ‘ODE TO YOU’” โดยมีจุดหมายทั้งในเอเชีย อเมริกาเหนือ และยุโรป แต่สุดท้ายเวิลด์ทัวร์ครั้งนี้ก็ถูกยกเลิกเนื่องจากสถารการณ์การระบาดของโควิด-19 และในปีเดียวกันพวกเขาออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 อย่าง “An Ode” ทำยอดขายในสัปดาห์แรกมากกว่า 700,000 ชุด และยังทำให้พวกเขาได้รับรางวัลแดซัง (รางวัลใหญ่) ในสาขาอัลบั้มแห่งปี จากเวที Asia Artist Awards อีกทั้งนิตยสาร Billboard ยังยกให้เป็นอัลบั้ม K-POP ที่ดีที่สุดในปี 2019 อีกด้วย

ในปี 2020 SEVENTEEN ได้ทำงานร่วมกับ HYBE Corporation อย่างเป็นทางการ โดย HYBE ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Pledis Entertainment ซึ่งถือว่า Pledis กลายเป็นค่ายลูกของไฮบ์อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งนี้ SEVENTEENยังคงอิสระและได้รับรับสิทธิในการทำเพลง รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ เหมือนเดิม แถมสมาชิกทุกคนในวงยังสามารถมีงานเดี่ยวทั้ง พรีเซนเตอร์ ถ่ายแบบ เล่นซี่รีย์ ถ่ายรายการวาไรตี้ อีกมากมาย ต่อมาได้ปล่อยซิงเกิ้ลภาษาญี่ปุ่นชุดที่ 2 “Fallin’ Flower” ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหนึ่งใน Oricon Daily Singles Chart และขายได้มากกว่า 400,000 ชุดในสัปดาห์แรก ทำให้ได้ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งบนBillboard Japan Hot 100 Chart หลังจากนั้นได้ทำการปล่อยอัลบั้มอีพีชุดที่ 7 ที่มีชื่อว่า “Heng:garæ” ซึ่งสามารถขายได้ 1 ล้านชุดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ SEVENTEEN มี “อัลบั้มขายได้หนึ่งล้านชุด” อย่างเป็นทางการ และยังขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตอัลบั้ม ของ Oricon ในญี่ปุ่น ทำให้พวกเขากลายเป็นศิลปินต่างชาติวงแรกในรอบ 12 ปี ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้นับตั้งแต่ Backstreet Boys ทำให้พวกเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และเป็นศิลปินแถวหน้าของวงการไปโดยปริยาย ต่อมาได้มีการปล่อยอีพีภาษาญี่ปุ่นชุดที่ 2 “24H” และได้รับการรับรองระดับแพลตินัมจาก RIAJ สำหรับการขายมากกว่า 250,000 ชุด และพวกเขายังได้มีการปล่อยอัลบั้มพิเศษชุดที่ 2 “Semicolon” พร้อมเพลงไตเติ้ล “Home;Run” ได้สร้างปรากฏการณ์มียอดพรีออเดอร์อัลบั้มมากกว่า 1 ล้านชุดตั้งแต่ยังไม่วางขาย กลายเป็นอัลบั้มที่ 2 ของวงที่ทำยอดขายมากกว่า 1 ล้านชุด และได้เปิดตัวทางโทรทัศน์ในอเมริกาในรายการ “The Late Late Show with James Corden” ของ CBS โดยแสดงเพลง Home;Run ซึ่งวิดีโอการแสดงถูกเผยแพร่บนช่อง YouTube และมียอดชมทะลุ 1 ล้านครั้งภายในวันเดียว

ส่วนปี 2021 พวกเขาได้ออกซิงเกิลภาษาญี่ปุ่นชุดที่ 3 “Not Alone” เพลงนี้ก็คงได้รับการรับรองระดับดับเบิลแพลตินัมโดย RIAJ สำหรับการขายมากกว่า 500,000 ชุด และวันที่ 18 พฤษภาคม พวกเขาได้ประกาศโครงการ “Power of Love” โดยได้ปล่อยซิงเกิ้ลดิจิทัล “Bittersweet” ที่ร้องโดย วอนอู และ มินกยู ควบคู่ไปกับซิงเกิ้ล “Ready to Love” และปิดท้ายด้วยการปล่อยซิงเกิ้ลภาษาญี่ปุ่นพิเศษที่มีชื่อเดียวกัน เพื่อโปรโมตข้อความแห่งการสนับสนุนและการเยียวยาว่าฤดูหนาวที่หนาวเหน็บและยากลำบากจะสิ้นสุดลง และฤดูใบไม้ผลิจะมาพร้อมกับพลังแห่งความรัก รวมถึงการเปิดตัวอัลบั้มอีพีที่ 8 “Your Choice” ซึ่งทำยอดขายไปได้กว่า 3.7 ล้านชุด และในเวลาเดียวกันก็ได้เซ็นสัญญากับ Geffen RecordsและUniversal Music Group เพื่อจัดจำหน่ายเพลงในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ ก่อนที่ทางต้นสังกัดได้ประกาศว่าได่ต่อสัญญาครบทีมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับการได้ปล่อยอัลบั้มอีพีชุดที่ 9 “Attacca” ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของวงที่ทำยอดขายมากกว่า 2 ล้านชุด

ขณะที่ปี 2022 SEVENTEEN ยังคงเติบโตขึ้นอย่างเรื่อยๆ ด้วยการอัลบั้มเต็มชุดที่ 4 “Face the Sun” ก็มียอดสั่งซื้ออัลบั้มทะลุ 2 ล้านชุดไปเป็นที่เรียบร้อย ทำให้กลายเป็นวงที่มียอดพรีออเดอร์อัลบั้มมากที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมถึงได้มีการปล่อยภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา “Seventeen Power of Love: The Movie” ในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกในวันที่ 20 และ 23 เมษายน ก่อนจะมีการประกาศจัดเวิลด์ทัวร์ครั้งที่ 3 “SEVENTEEN WORLD TOUR ‘BE THE SUN’” ซึ่งเป็นเวิลด์ทัวร์ครั้งแรกหลังจากการยกเลิกในปี 2020 จากโควิด-19ทัวร์นี้เริ่มต้นกรุงโซล ต่อด้วยอเมริกาเหนือ, อินโดนีเซีย, ไทย,ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และญี่ปุ่น และทัวร์ครั้งนี้ทำให้พวกเขาเป็น K-POP วงแรกที่จัดคอนเสิร์ตของตัวเองใน Philippine Arena ซึ่งเป็น Indoor Arena ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนปลายปีได้มีการปล่อยอัลบั้มภาษาญี่ปุ่นอีพี 3 “Dream” พร้อมกับการปรากฏตัวครั้งแรกในงานเทศกาล “LA3C” ในอเมริกา ณ State Historic Park

ทางด้านปี 2023 SEVENTEENได้ทำการปล่อยอัลบั้มอีพีชุดที่ 10 “FML” ซึ่งประกอบประกอบด้วยเพลงไตเติ้ล 2 เพลงคือ “Super” และ “F*ck My Life” โดยอัลบั้มนี้มียอดสั่งซื้อล่วงหน้า 4.6 ล้านครั้ง และกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมียอดขายในวันแรก 3.9 ล้านครั้งและยอดขายในสัปดาห์แรก 4.5 ล้านครั้ง ยอดขายรวมทุกเวอร์ชันทะลุ 6.2 ล้านชุด ซึ่งถือเป็นอัลบั้มแรกของศิลปิน K-POP ที่ทำได้ และยังได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีในงาน MAMA Awards ปี 2023 ด้วย หลังจากนั้นได้จัดคอนเสิร์ต 2 วันในชื่อ “SEVENTEEN TOUR ‘FOLLOW’” ที่โซล ณGocheok Sky Domeทัวร์นี้ได้เดินทางไปยัง 5 เมืองทั่วญี่ปุ่น และต่อมาได้ขยายไปยัง 3 เมืองในเอเชีย นอกเหนือจากทัวร์โดมในญี่ปุ่นแล้ว SEVENTEEN ยังได้ปล่อยอัลบั้มภาษาญี่ปุ่นยอดเยี่ยมที่มีชื่อว่า “Always Yours” เมื่อออกวางจำหน่ายอัลบั้มนี้ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งบนOriconและBillboard ของญี่ปุ่น และอันดับห้าในชาร์ตสิ้นปีทั้ง 2 แห่งด้วย ต่อมาได้ทำการปล่อยอัลบั้มอีพีที่ 11 “SEVENTEENTH HEAVEN” โดยมียอดสั่งซื้อล่วงหน้ามากกว่า 5.2 ล้านครั้ง ทำให้เป็นอัลบั้ม K-POP ที่มียอดสั่งซื้อล่วงหน้ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ และใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงในการทำสถิติเป็นบอยกรุ๊ปวงแรกที่พาเพลงไตเติล “God of Music” ขึ้นสู่อันดับ 1 ของชาร์ต Melon Top 100 ประจำปี 2023 ตามมาด้วยการเป็นบอยกรุ๊ปวงเดียวในปีนี้ที่ทำแกรนด์สแลม (ชนะถ้วยรางวัลครบทั้ง 5 รายการเพลงประจำสัปดาห์) ถึง 3 ครั้ง ถัดจากเพลง Fighting ของยูนิต BSS (부석순) และเพลง Super ของวงเมื่อช่วงต้นปี

ส่วนปี 2024 SEVENTEEN เริ่มต้นด้วยการรับรางวัลใหญ่สามรางวัลจากงาน Golden Disc Awards ได้แก่ รางวัลแดซัง “Album of the Year”, “Best Digital Song Bonsang” และ “Best Album Bonsang” และพวกเขาได้กลายเป็นศิลปิน K-POP วงแรกที่ได้แสดงคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความจุ 25,000 คน หลังจากนั้นพวกเขาได้ปล่อยอัลบั้มรวมเพลง “7 Is Right Here” อัลบั้มนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “อัลบั้มรวมเพลงฮิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” โดยมีซิงเกิลภาษาเกาหลีทั้งหมดของวงตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปี 2024 พร้อมด้วยเวอร์ชันภาษาเกาหลีของซิงเกิลภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดของวง เพลงใหม่ที่ไม่ได้เผยแพร่ 4 เพลง รวมถึงเพลงไตเติ้ล “Maestro” และเพลงบรรเลงที่ยังไม่ได้เผยแพร่ก่อนหน้านี้สำหรับซิงเกิลเปิดตัว “Adore U” และต่อมาพวกเขาได้ร่วมแสดงบนเวที Pyramid ในเทศกาลดนตรี “Glastonbury Festival 2024” ซึ่งถือเป็นวงดนตรี K-POP วงแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้แสดงในเทศกาลดนตรีนี้ ซึ่งการแสดงของพวกเขาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าร่วมงานและนักวิจารณ์ เช่นNMEซึ่งให้คะแนนการแสดงนี้ห้าดาว พร้อมแสดงความเห็นว่า “การแสดงที่เริ่มต้นด้วยการแนะนำวงดนตรีที่ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย กลับจบลงด้วยความยินดีอย่างสุดซึ้ง โดยผู้ที่ไม่เคยแสดงมาก่อนจะออกจากสนามไปพร้อมกับพลังงานอันไร้ขีดจำกัดที่หลั่งไหลลงมาจากเวที”

หลังจากนั้นก็ได้ทำการประกาศเวิลด์ทัวร์ “SEVENTEEN ‘RIGHT HERE’ WORLD TOUR” ก่อนที่จะประกาศว่า “จองฮัน” จะเกณฑ์ทหารในกองทัพเกาหลีใต้ และเปิดตัวอัลบั้มอีพีที่จะมาถึงของวง และ “จุน” จะพักจากกิจกรรมกลุ่มในเกาหลีใต้เพื่อไปทำงานการแสดงในประเทศจีน ก่อนที่กลุ่มจะมีการแสดงตามกำหนดการที่ “Lollapalooza Berlin” ซึ่งพวกเขาแสดงบนเวทีหลักของเทศกาล ทำให้ SEVENTEEN กลายเป็นศิลปิน K-POP วงแรกที่ได้เป็นวงหลักในเทศกาลนี้ ต่อมา SEVENTEEN ได้รับประกาศนียบัตรแสดงความชื่นชมจากลอสแองเจลิส สำหรับผลงานด้านดนตรี และการส่งเสริมพลังของเยาวชน โดยมี “โจชัว” เป็นตัวแทนรับเกียรติดังกล่าว และต้นปี 2025 พวกเขาก็ได้ได้ร่วมแสดงในเพลง “Bad Influence” ซึ่งสร้างสรรค์โดยPharrell Williams โปรดิวเซอร์เพลงและนักออกแบบแฟชั่นชาวอเมริกัน สำหรับเพลงประกอบโชว์ “Louis Vuitton FW 2025” และเมื่อวันที่ 3 เมษายน วอนอูกลายเป็นสมาชิกคนที่ 2 ของกลุ่มที่เริ่มช่วงเกณฑ์ทหาร ซึ่งวันต่อมาพวกเขาก็กลายเป็นศิลปิน K-POP วงแรกที่แสดงที่ Pal Norteในมอนเตร์เรย์

บอกเลยว่าเส้นทางของพวกเขาทั้ง 13 คนตลอดระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษต่างถูกพิสูจน์ให้เห็นชัดผ่าน “ผลงาน” และ “ความสามารถ” ที่เป็นประจักษ์ และถูกยอมรับจากผู้คนทั่วโลก แม้สมาชิกแต่ละคนจะมีความถนัดที่แตกต่างกัน แต่ด้วย “ความต่างที่ลงตัว” กลับทำให้โชว์ทุกโชว์ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ด้วยเพชรเม็ดงามทั้ง 13 เม็ดที่ถูกเจียระไนอย่างงดงามจาก “การไม่หยุดพัฒนา” และ “พลังอันไร้ขีดสิ้นสุด” นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เพชรทั้ง 13เม็ดนี้ยิ่งเปล่งประกายส่องสว่างเจิดจ้าบนเวทีมากยิ่งขึ้น นั้นคือเมื่ออยู่รวมกับ “กะรัต” สิ่งที่บ่งบอกคุณค่าของเพชรเม็ดงาม โดย “ความรัก” และ “ความอบอุ่น” ของชาวกะรัตคอยเป็นกำลังใจ และส่งมอบให้หนุ่มๆ SEVENTEEN ตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพเพื่อตอบแทนความรักที่ได้มา นูน่าบอกได้เลยว่า ทั้ง SEVENTEEN และ กะรัต ต่างเป็น “ขุมพลังอันยิ่งใหญ่” ให้กันและกันในการมีพลังต่อสู้กับการดำเนินชีวิต และพร้อมสร้างสรรค์ผลงานอันงดงามเพื่อขับกล่อมผู้คนให้อยู่ในห้วงแห่งสุขตราบนานเท่านาน..

คอลัมน์ “SeoulStation”
โดย “นูน่าเมี้ยน”