เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.อ.กฤศ จันทร์สว่าง ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี ได้รับแจ้งมีเหตุหญิงสาวจะกระโดดสะพานลอยฆ่าตัวตาย ที่บริวณบนสะพานลอยหน้าโรงเรียนอนุบาลสุพรรณบุรี ถนนมาลัยแมน ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองสุพรรณบุรี จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมศูนย์กู้ภัยเณรแก้ว และมูลนิธิเสมอกันสุพรรณบุรี พบ น.ส.แก้ว (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี ผู้ดูแลเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหัวเวียง ต.รั้วใหญ่ ยืนร้องไห้อยู่บนสะพานลอย โดยในมือถือแผ่นกระดาษ เป็นหนังสือบันทึกข้อความถูกยกเลิกจ้างเหมาบริการ ผู้ดูแลเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหัวเวียง และสำเนาใบแจ้งความดำเนินคดี นายกเทศมนตรี แห่งหนึ่ง ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

ต่อมา น.ส.ปรียนันท์ โพธิธรรมสถิต ปลัดเทศบาลตำบลรั้วใหญ่ พร้อมเจ้าหน้าที่ได้เดินทางมาเกลี้ยกล่อม จน น.ส.แก้ว ยอมลงมาจากสะพานลอย เจ้าหน้าที่จึงพาไปสงบสติอารมณ์ ทั้งนี้จากการสอบถามเบื้องต้น น.ส.แก้ว ระบุว่า ตนเองเครียดที่ถูกเลิกจ้างดูแลเด็กของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหัวเวียง ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของเทศบาลตำบลรั้วใหญ่ จึงเกิดอาการเครียด และยังถูกนำบันทึกข้อความที่ถูกเลิกจ้างไปติดประกาศ ตนจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุพรรณบุรี ให้ดำเนินคดีจนถึงที่สุดกับนายศักดิ์ชัย สถิตวรรยา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลรั้วใหญ่ ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และข้าราชการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีใช้อำนาจกลั่นแกล้ง ทำให้ได้รับความเสียหาย

ต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังนายศักดิ์ชัย สถิตวรรยา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลรั้วใหญ่ ก็ได้รับคำตอบว่า ตนได้แถลงนโยบายต่อสภาแล้วว่า ต้องการที่จะพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ตรงกับวุฒิการศึกษา จนกระทั่งก่อนสิ้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ดูเอกสารของบุคคลากรรับจ้างเหมา 2 คน ที่ครบสัญญาเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา 1 ในนั้นคือผู้ที่จะกระโดดสะพานลอย ซึ่งวุฒิการศึกษา จบ ม.6 ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หมดสัญญาวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา

นายศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า ตามระเบียบแล้วจะต้องมีวุฒิการศึกษาตามระเบียบของศูนย์เด็กเล็ก แต่ทั้ง 2 คนยังหางานไม่ได้ จึงขอให้ทางเทศบาลบตำบลรั้วใหญ่ ต่อสัญญาให้อีก 1 เดือน ทางเทศบาลก็ต่อสัญญาให้อีก 1 เดือน คือเดือน ก.ค.นี้ เพราะเห็นใจในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขอยืนยันทำตามระเบียบที่สามารถทำได้ กรณีมีการแจ้งความดำเนินคดีตนนั้น ยังไม่ทราบ ถ้าหากว่าไม่เป็นความจริง ก็จะฟ้องกลับ เพราะเป็นการทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นเดียวกัน.