กรณีวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวน กรณีความปรากฏการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยทนายผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายทักษิณ (ลูกความ) ยืนยันว่าในวันที่ 13 มิ.ย. พร้อมเดินทางไปศาลฎีกาเพื่อชี้แจงรายละเอียด ขณะที่นายทักษิณ จะไม่ได้เดินทางไปศาลฎีกา เนื่องด้วยศาลฎีกาไม่ได้มีหมายเรียกถึง ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
ศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนคดี “ทักษิณ” 13 มิ.ย.-อสส.ยันไร้ข้อเท็จจริง วิญญัติย้ำไม่จำเป็นต้องมาศาล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับรายงานความคืบหน้าภายในกระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ โดยเฉพาะในส่วนของการเตรียมชี้แจงต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะไต่สวนในกรณีการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร ว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย.68 ศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งกรณีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณ เนื่องจากไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษา และถูกส่งไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยมิชอบ แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้ร้องไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการบังคับโทษจำคุก ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล
อย่างไรก็ตาม เมื่อความปรากฏต่อศาล จึงเห็นควรให้ 1.ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.) และจำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) แล้วให้โจทก์และจำเลยแจ้งต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้องหรือไม่อย่างไร 2.ส่งสำเนาคำร้องให้ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาของศาลว่าการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่อย่างไร ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 6 ซึ่งหากนำรายละเอียดภายใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 ส่วนที่ 4 สุขอนามัยของผู้ต้องขัง ระบุว่า “ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้านหรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาลหรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิตนอกเรือนจำต่อไป
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอำนาจอนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำตามวรรคสอง มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา” ไปดูประกอบกับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 หมวด 1 การบังคับตามคำพิพากษา ที่ได้ระบุว่า
“เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้ 1.เมื่อจำเลยวิกลจริต 2.เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก 3.ถ้าจำเลยมีครรภ์ 4.ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น ในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้น ศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้น เป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่ง ลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสองให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสามหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่ง หรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา”
ดังนั้น เมื่อพิจารณาสาระสำคัญของกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2550 มาตรา 246 จะเห็นได้ว่ากฎหมายทั้งสองฉบับนี้เสริมกัน ไม่ก้าวก่ายกัน จึงหมายความได้ว่า “ถ้าผู้ต้องขังป่วย แต่ทางเรือนจำฯ ไม่ยอมให้ออกมารักษาตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 ผู้ต้องขังก็ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 ได้” ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีหน้าที่ในการพิจารณาและแก้ไข พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 (ฉบับแก้ไข) คือ กรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 11 อันประกอบด้วย นายโสภณ รัตนากร (ประธาน), นายไพโรจน์ วายุภาพ, นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรออรรถ, นายพรเพชร วิชิตชลชัย, นายวีระพล ตั้งสุวรรณ, พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์, นายเรวัต ฉ่ำเฉลิม, นายคณิต ณ นคร, นายเกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ และ พล.อ.อัฏฐพร เจริญพานิช
นอกจากนี้ ในส่วนของการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขัง เพื่ออนุญาตให้ผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ได้มีแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ระบุว่า ฎีกาที่ 1092/2482 ระหว่างอัยการกาญจนบุรี โจทก์ นางชั้น พิณพาทย์ จำเลย วินิจฉัยว่า ตาม ป.ว.อ. มาตรา 246 มิได้บัญญัติไว้ว่า การทุเลาการบังคับตามมาตรานี้ ต้องเป็นกรณีก่อนบังคับคดี แต่เมื่อตรวจดูมาตรา 248 เข้าด้วยจะเห็นได้ชัดว่า ศาลจะทุเลาการบังคับก่อนหรือภายหลังบังคับคดีก็ได้ ส่วนความตามมาตรา 29, 30 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 นั้น เป็นเรื่องที่ให้อำนาจอธิบดีราชทัณฑ์ เพื่ออนุญาตให้ผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เนื่องด้วยอนามัยและสุขาภิบาลของผู้ที่ต้องขัง หรือหญิงมีครรภ์ คนละส่วนต่างหากจากที่บัญญัติไว้ในเรื่อง ขอทุเลาการบังคับต่อศาลในหมวด 1 แห่งภาค 6 ของ ป.ว.อ. พุทธศักราช 2477 หาได้ก้าวก่ายลบล้างกันไม่
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในช่วงที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการส่งตัวออกรักษานอกเรือนจำ ที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 อาคาร อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ระยะเวลาทั้งหมด 180 วัน หรือ 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.66-18 ก.พ.67) เนื่องด้วยเข้าเกณฑ์กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 เพราะเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ และประสบปัญหา 4 โรครุมเร้า ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด พังผืดในปอด ความดันโลหิตสูง และกระดูกสันหลังเสื่อม โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ โรคหัวใจ เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ แพทย์จึงมีความเห็นว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิต เห็นควรส่งตัวไป รพ.ตำรวจ ที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่า นั้น เกิดขึ้นในช่วงที่นายนัสที ทองปลาด ดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แต่ปัจจุบันนี้ (2568) ผู้ที่มาดำรงตำแหน่ง ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร คือ นายมานพ ชมชื่น เนื่องจากนายนัสที ทองปลาด ได้เกษียณอายุราชการ
ดังนั้น หมายเรียกของศาลฎีกาฯ ที่ได้เรียก ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ให้เดินทางชี้แจงที่ศาลฎีกาฯ จึงได้รับการยืนยันแล้วว่า นายมานพ ชมชื่น ในฐานะ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องเดินทางไปชี้แจงต่อศาลฎีกาฯ ด้วยตัวเอง ขณะที่ก็มีรายงานด้วยว่า นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะไม่ได้เดินทางไปชี้แจงต่อศาลฎีกาฯ เนื่องจากศาลฎีกาฯ ไม่ได้ส่งเอกสารเรียกให้ไปชี้แจงแต่อย่างใด โดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ สามารถชี้แจงเป็นเอกสารแทนได้.