นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า (ร่าง) พระราชบัญญัติการประกอบกิจการไปรษณีย์ พ.ศ. … เตรียมนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน มิ.ย. 68 นี้ หลังจากผ่านการยกร่างในระดับกระทรวงเรียบร้อยแล้ว โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการไปรษณีย์และพัสดุภัณฑ์ให้ทันต่อยุคดิจิทัล รองรับการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว สอดรับกับบริบทธุรกิจที่มีผู้ให้บริการหลากหลายทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ไม่สร้างภาระทางต้นทุนแก่ผู้ประกอบการรายย่อย โดยโครงสร้างของกฎหมายจะไม่เน้นการออกใบอนุญาตแบบเข้มงวด แต่จะใช้แนวทางจดแจ้งเป็นหลัก เพื่อให้สามารถควบคุมได้โดยไม่ขัดขวางการแข่งขัน
“ภาครัฐไม่ต้องการให้การออกกฎหมายฉบับนี้กลายเป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กที่อยู่ในระบบอยู่แล้ว แต่จะเน้นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ เช่น การดูแลความปลอดภัยของพัสดุ การรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และการมีมาตรฐานขั้นต่ำในการดำเนินงาน เป็นต้น”

นายวิศิษฏ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ภารกิจการกำกับดูแลการให้บริการไปรษณีย์ อยู่ภายใต้การดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นหลัก แต่ในโลกยุคใหม่ที่มีการขนส่งออนไลน์จำนวนมหาศาล และที่ผ่านกฎหมายเกี่ยวกับไปรษณีย์ คือ พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ.2477 ก็ใช้มานานแล้ว จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเฉพาะด้านและทันสมัย เพื่อให้สามารถควบคุมและกำกับดูแลกิจกรรมทางไปรษณีย์ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แม้จะมีเสียงทักท้วงจากบางภาคเอกชนเกี่ยวกับข้อกังวลเรื่องความยุ่งยากในการดำเนินการหรือการจดทะเบียน แต่ยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะไม่สร้างต้นทุนเพิ่ม และจะไม่มีการบังคับให้ต้องมีใบอนุญาตในระดับที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขนส่งบุคคลหรือสินค้าอ่อนไหว
“หลักการของกฎหมายฉบับนี้คือ การสร้างมาตรฐานขั้นต่ำ ไม่ใช่การควบคุมจนธุรกิจขนส่งเดินไม่ได้ มันเหมือนการตีเส้นให้วิ่งไปตามระเบียบ ไม่ใช่กั้นรั้วล็อกล้อ โดยหลังจากเสนอเข้าสู่ ครม. แล้ว จะเปิดให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามาแสดงความเห็นเพิ่มเติม ก่อนประกาศใช้ในลำดับต่อไป” นายวิศิษฏ์ กล่าว
ด้าน นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า หากร่างกฎหมายไปรษณีย์ผ่านการพิจารณาอย่างรวดเร็ว จะช่วยพลิกโฉมการแข่งขันในอุตสาหกรรมไปรษณีย์และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะการกำกับดูแลผู้ให้บริการเอกชนที่ปัจจุบันยังอยู่นอกกฎหมายเดิม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าหน่วยงานใดรับหน้าที่กำกับดูแลหลัก แต่มีแนวโน้มว่าจะจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะตามตำแหน่ง แทนการจัดตั้งองค์กรอิสระแบบเดียวกับที่ใช้ในกิจการโทรคมนาคม

“ไปรษณีย์ไทยไม่ต้องการแต้มต่อพิเศษจากรัฐ แต่ต้องการระบบการแข่งขันที่แฟร์เพลย์ เพื่อให้สามารถยืนอยู่ในตลาดได้โดยไม่ถูกกลืนหาย”
กฎหมายฉบับใหม่จึงถูกคาดหวังว่า จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม มีมาตรการป้องกันการตั้งค่าบริการในราคาต่ำกว่าทุน การดัมพ์ราคาคือการเล่นนอกเกม เป็นพฤติกรรมทำลายตลาดระยะยาว ที่อาจลากทั้งอุตสาหกรรมล้มไปพร้อมกัน และไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มควบคุมทิศทางการขนส่งอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะในตลาดอีคอมเมิร์ซที่อัลกอริธึมของแพลตฟอร์มเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการขนส่งจากราคาที่ถูกที่สุด โดยไม่เปิดทางให้ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกบริการที่เชื่อถือได้และตรงกับความต้องการ