จากกรณีไทยและกัมพูชาประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่กรุงพนมเปญ 14–15 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าด้านเทคนิค และเตรียมประชุมพิเศษเดือนกันยายน แต่จุดสำคัญ คือ ไทยสามารถแนบท่าทีตอบโต้ในเอกสาร “Agreed Minutes” ซึ่งมีผลผูกพันตามหลักทูต ทำให้กัมพูชายอมรับโดยปริยาย ทั้งในเรื่องสิทธิการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ และการหยุดเจรจาใน 4 พื้นที่ อีกทั้งประเทศไทยยังย้ำไม่มีการหารือเรื่องศาลโลกหรือแผนที่ 1:200,000 พร้อมเดินหน้าทวิภาคีโดยใช้ความอดกลั้นเป็นหลัก ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้
‘นายกฯแพทองธาร’ ขอบคุณทีมเจรจา JBC มั่นใจ หาทางออกที่ดีที่สุด
ไทยสวนกลับกัมพูชา ยันเวทีเจบีซีไร้หารือปมแผนที่ 1:200,000

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร” อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์วิเคราะห์ถึงประเด็นการแถลงข่าว “JBC” ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Phil Saengkrai ที่สะท้อนชั้นเชิงไทย ที่เจรจาแนบเนียนได้เปรียบคู่เจรจา

โดยเจ้าของโพสต์ ระบุข้อความว่า “หลายท่านอาจจะไม่พอใจที่ฝ่ายไทยสื่อสารกับประชาชนล่าช้า ผมเข้าใจ แต่ผมอยากจะชวนให้สังเกตชั้นเชิงการเจรจาของฝั่งไทยในแถลงข่าวฉบับนี้ แถลงข่าวกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า “ประธานฝ่ายไทยได้ย้ำท่าทีไทยตอบโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา” และ “บันทึกแนบไว้ในเอกสารผลลัพธ์ Agreed Minutes ของการประชุมครั้งนี้”

อีกทั้ง “อย่างหลังนี่แหละครับที่มีนัยสำคัญ เพราะ agreed minutes เป็นความตกลงร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา มีผลผูกพันทั้งสองฝ่าย การที่ไทยสามารถนำท่าทีของฝ่ายไทยไปแนบเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกการประชุมนี้ได้ ก็เท่ากับว่ากัมพูชายอมรับและผูกพันตามเนื้อหาในเอกสารแนบนี้ด้วย”

โดย ดร.ภัทรพงษ์ ได้ออกมาวิเคราห์ 4 ข้อหลักๆ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 กัมพูชารับรู้และยอมรับว่า การดำเนินการของทหารเป็นไปตามหลักการป้องกันตนเอง และเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ (เท่าที่เห็นจากข่าว กัมพูชาไม่ได้โต้แย้งในประเด็นนี้ในแถลงการณ์ด้วย ยิ่งตอกย้ำว่า กัมพูชายอมรับว่าไทยทำโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว)
ข้อ 2 กัมพูชารับรู้ว่า “ไทยแสดงความผิดหวังที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะปิดประตูการเจรจาอย่างสันติใน 4 พื้นที่” อ่านตรงนี้ดีๆ นะครับ กัมพูชากำลังยอมรับว่า เป็นฝ่ายที่เลิกการเจรจาไปเอง พูดง่ายๆ หากกระบวนการเจรจาในส่วนพื้นที่พิพาทสี่แห่งไม่เดินหน้า ก็เป็นความผิดของฝ่ายกัมพูชาเอง ที่ “เลือกที่จะปิดประตูการเจรจา”
ข้อ 3 และข้อ 4 อธิบายหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายที่ผูกพันต่อกันซึ่งเพิ่มขึ้นมาจาก MOU 2543 คือ “ต้องใช้ความอดกลั้น” (คีย์เวิร์ดของฝ่ายไทยที่ใช้มาตลอด) และ “ต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิด” สองข้อนี้ผูกพันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ของรัฐกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ทำให้เข้าใจผิด เท่ากับว่าทำผิดความตกลงที่ทำขึ้นเมื่อวาน แต่กลับเป็นฝ่ายที่เดินหน้าไปฟ้องศาลโลก เช่นนี้แล้วการฟ้องคดีชอบธรรมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม “ผมไม่ได้เห็นเอกสารตัวจริง แต่หากเป็นไปตามที่กระทรวงฯ แถลง การใส่เอกสารแนบเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกประชุมที่ตกลงกันสองฝ่าย “agreed minutes” นี้ เป็นกลวิธีที่แยบคายและทำให้ไทยได้เปรียบมากครับ” ดร.ภัทรพงษ์ กล่าว

ขอบคุณข้อมูล : Phil Saengkrai