สำนักข่าวต่งประเทศรายงานผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มผู้นิยมการสักผิวหนัง โดยผลการศึกษาที่เผยแพร่โดยมหาวิทยาลัยลุนด์ของสวีเดนเมื่อปีที่แล้ว ชี้ว่า แม้การสักบนผิวหนังจะก่อให้เกิดโรคได้น้อย แต่การเลือกใช้หมึกสักบางสีก็อาจทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงมากเป็นพิเศษในระยะยาว
ผลของการศึกษานี้ระบุว่า รอยสักสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ 21 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้สัก แต่ผู้เขียนรายงานการศึกษานี้ก็ย้ำว่า โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นโรคที่หายาก และอาจมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยชี้ว่า ร่างกายจะถือว่าหมึกสักเป็นสิ่งแปลกปลอม และจะพยายามกำจัดออกจากผิวหนังไปยังต่อมน้ำเหลืองเมื่อระบบภูมิคุ้มกันเริ่มทำงาน
ตอนนี้กำลังมีโครงการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อโรคทั้งหมดที่เกิดจากรอยสัก นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาอื่น ๆ ที่ให้ความสนใจเรื่องได้ผลกระทบของรอยสักบางชนิดและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีของหมึกที่ใช้
โครงการ Non Toxic Revolution ที่มุ่งให้ความรู้เรื่องสารเคมีเป็นพิษในสิ่งแวดล้อมและอาหาร พบว่า เม็ดสีในหมึกสักสีแดงสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาทางผิวหนังได้มากที่สุด เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีส่วนผสมของแคดเมียม ปรอท หรือเหล็กออกไซด์
การดูแลรอยสักหลังการสักเป็นสิ่งสำคัญมาก หากละเลยอาจทำให้เกิดผื่น คัน และปวดได้ ซึ่งคล้ายกับการรักษาบาดแผลเปิด แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น ส่วนกรณีศึกษาเพิ่มเติมนั้นเป็นการเจาะลึกถึงผลกระทบระยะยาวของการสัก
การศึกษาที่เผยแพร่โดยโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยดุคแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่า มีกรณีของการเกิดเนื้องอกในรอยสักหลายกรณีและยังพบว่า รอยสักที่ใช้หมึกที่มีเม็ดสีสีแดงเป็นรอยสักที่พบเนื้องอกมากที่สุด โดยคิดเป็นจำนวน 36.9 เปอร์เซ็นต์ของเนื้องอกที่ทั้งหมดเกิดจากรอยสัก
ดังนั้น หากต้องการสักลายบนผิวหนังและกังวลเรื่องความปลอดภัย การเลือกใช้หมึกสีดำอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ปัจจุบันนี้ บางประเทศรวมถึงสหราชอาณาจักรได้ออกกฎหมายห้ามใช้หมึกสักบางประเภท เนื่องจากกังวลว่าอาจมีสารก่อมะเร็ง ซึ่งทางผู้ผลิตหมึกสักก็ได้รับแจ้งว่า จะต้องหาทางเลือกอื่นมาทดแทนสูตรหมึกของเดิม
ที่มา : ladbible.com
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES