ประเด็นดังกล่าวถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนจาก “อานันท์ ปันยารชุน” อดีตนายกรัฐมนตรี ในปาฐกถาพิเศษบนเวที Dinner Talk หัวข้อ “Forest Guardians- ชุมชนพิทักษ์ป่า ลงขันดูแลป่า หยุดไฟลดฝุ่น PM2.5” ภายในงาน Forest Guardians Dinner Talk จัดโดย เครือข่ายผู้นำเพื่อสร้างความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม (RoLD Fellows) โดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) โดยย้ำว่า “ประเทศไทยไม่สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง หากไม่ใส่ใจฐานทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจ” กล่าวคือ การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยยังคงต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเปรียบเสมือนต้นทุนการผลิตที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาสมดุลของระบบนิเวศด้วยความเข้าใจ ความรับผิดชอบ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม

อีกสิ่งสำคัญที่ “อานันท์” ให้ความสำคัญ คือ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมี ธรรมาภิบาล และเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ผู้ที่มีอำนาจในการเข้าถึงทรัพยากรมากกว่าผู้อื่นย่อมต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นตามไปด้วย เพราะ “ความรับผิดรับชอบต่อส่วนรวม คือเสาหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืน”

โดยชี้ให้เห็นว่า สาเหตุของปัญหาสังคมและความขัดแย้งที่ฝังลึกในประเทศไทย ล้วนมีรากเหง้ามาจากการพัฒนาที่ละเลยผลกระทบต่อชีวิตคนและสิ่งแวดล้อม การขาดกลไกตรวจสอบ และการใช้อำนาจบริหารจัดการอย่างไร้ความโปร่งใส ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว พร้อมเตือนว่า “สังคมไทยในวันนี้เปราะบางราวกับภูเขาไฟ พร้อมจะระเบิดเมื่อถูกกระทบจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน”

ดังนั้น ธรรมาภิบาลจึงไม่ควรเป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในรายงานประจำปี หากแต่ต้องปรากฏชัดในกระบวนการตัดสินใจที่เปิดเผย โปร่งใส และรับฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ที่ไม่ได้วัดความสำเร็จด้วยตัวเลข GDP เพียงอย่างเดียว แต่ด้วย “ความกล้าที่จะรับผิดในผลกระทบ และกล้าร่วมรับผิดชอบในทางแก้ไข”

หนึ่งในแนวทางที่เป็นรูปธรรมของแนวคิดดังกล่าว คือ กลไก Payment for Ecosystem Services (PES) หรือการจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ดูแลระบบนิเวศ ซึ่งเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากธรรมชาติ เช่น ภาครัฐ ภาคธุรกิจ หรือผู้บริโภค ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนและดูแลผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างชุมชนในท้องถิ่น นี่ไม่ใช่เพียงการบริจาคหรือทำบุญ หากแต่เป็น “การลงทุนในต้นทุนแห่งความยั่งยืน” ที่ภาคธุรกิจควรมองเห็นคุณค่า และถือเป็นการสะท้อนจริยธรรมและวิสัยทัศน์ระยะยาวขององค์กร

อานันท์กล่าวต่อไปว่า “การแบ่งปันรายได้จากปลายน้ำ กลับคืนสู่ต้นน้ำ คือ ความกล้าหาญของธุรกิจที่ตระหนักถึงคุณค่าร่วม ไม่ใช่แค่กำไรส่วนตน” ซึ่งในยุคที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่สงครามการค้าและการแข่งขันด้านเทคโนโลยี การมีระบบที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันทางสังคมและสิ่งแวดล้อมไว้ จึงไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย แต่คือความจำเป็น

หากประเทศไทยจะสามารถยืนหยัดด้วยตนเองท่ามกลางความผันผวนเหล่านี้ได้ จะต้องมี “เสาหลัก 3 ประการ” ที่แข็งแรง ได้แก่ 1.ระบบธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง 2.กลไกความรับผิดรับชอบร่วมที่ใช้งานได้จริง เช่น PES และ3.เศรษฐกิจแบบมีจริยธรรมที่เห็นคุณค่าของธรรมชาติ ความหลากหลาย และเสียงของผู้ถูกลืม

นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีได้ย้อนทบทวนประสบการณ์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเมื่อกว่า 30 ปีก่อนว่า การปฏิรูปเชิงระบบในเชิงนโยบาย โครงสร้างราชการ และกฎหมาย เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น การผลักดันพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ที่วางหลักการเรื่อง “ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบ” (polluter pays principle) และการที่ EIA ต้องใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่พิธีกรรม รวมถึงการเริ่มกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นสามารถจัดการมลพิษหรือบำบัดน้ำเสียได้เอง ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็เริ่มขับเคลื่อนแนวคิด “ป่าเพื่อชุมชน” จนนำไปสู่ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน ที่เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างแผนแม่บทป่าไม้แห่งชาติขึ้นมาเป็นครั้งแรก

แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี แต่อานันท์ย้ำว่ารากของปัญหายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผลกระทบกลับรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้นจากภัยธรรมชาติและวิกฤติโลกร้อน นี่คือโจทย์ใหญ่ของผู้กำหนดนโยบายยุคใหม่ ที่ต้องเร่งปรับโครงสร้างเพื่อให้ทันกับความท้าทายสมัยใหม่ และการจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน ในการฟื้นฟูระบบนิเวศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกัน

“สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อชี้นิ้วไปที่ใคร แต่เพื่อให้เราหันมาถามตัวเองว่า เราทำเต็มที่ในบทบาทของเราหรือยัง” อานันท์กล่าวพร้อมตั้งคำถามทิ้งท้าย โดยมุ่งไปที่บทบาทของแต่ละภาคส่วน ดังนี้

       ภาคธุรกิจ : จะกล้าสร้างผลกำไรควบคู่กับผลประโยชน์ส่วนรวมได้หรือไม่?

       รัฐบาล : จะกล้าเปิดพื้นที่ให้ความเห็นต่างและรับฟังเสียงประชาชนหรือไม่?

       ข้าราชการ : จะกล้าปรับปรุงกฎระเบียบที่ล้าสมัย และหนุนการมีส่วนร่วมที่แท้จริงได้หรือไม่?

       และพวกเราทุกคน : จะกล้ารับผิดชอบต่อโลกใบนี้ อย่างที่อยากเห็นลูกหลานได้อยู่ในอนาคตหรือไม่?

เพราะความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง จะไม่เกิดขึ้นจากคำพูดลอย ๆ แต่เกิดจากการร่วมมืออย่างโปร่งใส การรับฟังด้วยใจ และการลงมือทำอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน ดังที่ “อานันท์ ปันยารชุน”  ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ขอให้เราร่วมกันสร้างสังคมไทยที่อยู่รอด ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เพราะเรากล้าออกแบบอนาคตไปด้วยกัน”

สำหรับงาน Forest Guardians Dinner Talk ภายในงานได้เชิญผู้นำจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชนท้องถิ่น ร่วมผลักดันแนวคิด “ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม” ผ่านกลไกการจ่ายค่าตอบแทนบริการระบบนิเวศ (PES : Payment for Ecosystem Services) พร้อมเปิดตัวโครงการ “ชุมชนพิทักษ์ป่า” (Forest Guardians) ในพื้นที่นำร่อง จ.เชียงใหม่

ไฮไลต์สำคัญของงาน นอกจากคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ แล้วยังมีการนำเสนอโมเดล PES ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้ชุมชนผู้ดูแลผืนป่าได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไฟป่า ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และลดฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน เอกอัครราชทูต อดิศักดิ์ ภาณุพงศ์ ที่ปรึกษา สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) และโดยมีนายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบัน GSEI นำเสนอแนวทางเชิงนโยบายสำหรับการผลักดัน PES ในระดับประเทศ

ช่วงเสวนาได้ถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการ “กาแฟอินทรีย์รักษาป่า” ภายใต้แบรนด์ มีวนา โดย คุณวิเชียร พงศธร ประธานกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ที่ใช้ PES เชื่อมโยงธุรกิจกับการอนุรักษ์ พร้อมเสียงจากชุมชนบ้านแม่สาน้อย จ.เชียงใหม่ และบทบาทสำคัญขององค์กรที่ร่วมขับเคลื่อนโครงการ เช่น Change Fusion และเทใจดอทคอม

นอกจากนี้กิจกรรมขับเคลื่อนในนาม RoLD Fellows พร้อมร่วมมือกับ Piano Academy of Bangkok และ 158 Chamber Orchestra ประกาศจัดคอนเสิร์ตการกุศล “Concerto of Giving” ในวันที่ 30 สิงหาคม 2568 โดยจะนำรายได้ทั้งหมดเข้าสนับสนุนโครงการ Forest Guardians

ปิดท้ายด้วยกิจกรรม Fundraising game ที่ผู้ร่วมงานได้มีส่วนร่วมบริจาคผ่านแบบฟอร์ม Donation Card และรับของที่ระลึกเป็นหนังสือลายเซ็นจากคุณอานันท์ เพื่อเป็นการแสดงเจตจำนงค์และรวมพลังแห่งการเริ่มต้นสร้างการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน