นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เกี่ยวกับปัญหาสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ของบริษัท คิง เพาเวอร์ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) แล้ว โดยได้กำชับให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ส่วนสุดท้ายแนวทางจะเป็นอย่างไร แต่ ทอท. ต้องไม่เสียประโยชน์ และไม่เสียเปรียบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการเจรจาสิ้นสุด และพบว่าต้องปรับแก้สัญญาฯ จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก ทอท. ว่า การแก้สัญญาฯ ไม่จำเป็นต้องนำเรื่องเสนอ ครม. เพราะไม่ได้เป็นสัญญาเชิงพาณิชย์ที่เข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
“ทีมข่าวนวัตกรรมขนส่งเดลินิวส์” แจ้งว่า เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ทอท. ได้เชิญคิงเพาเวอร์ฯ มาหารือในรายละเอียดของเนื้อหาในหนังสือที่ส่งมายัง ทอท. เรื่อง ขอหารือแนวทางในการพิจารณายกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) 3 ฉบับ ใน 5 ท่าอากาศยาน ได้แก่ สัญญาดิวตี้ฟรี ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, สัญญาดิวตี้ฟรี ท่าอากาศยานดอนเมือง และสัญญาดิวตี้ฟรี 3 ท่าอากาศยานในภูมิภาค ได้แก่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และหาดใหญ่ เพื่อให้มีความชัดเจน และมีความเข้าใจที่ตรงกัน รวมทั้งสอบถามความคิดเห็นเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากในหนังสือด้วย โดยการหารือครั้งนี้ ไม่ใช่การเจรจาต่อรองใดๆ เป็นการทำความเข้าใจ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการศึกษาหาแนวทางออกที่ดีที่สุดต่อไป

สำหรับรายละเอียดในหนังสือที่คิงเพาเวอร์ฯ ได้ส่งมายัง ทอท. ครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่า สถานะตอนนี้คิงเพาเวอร์ฯ ทำธุรกิจดิวตี้ฟรีใน 5 สนามบินไม่ไหวแล้วจริงๆ หากจะยกเลิกสัญญาต้องทำอย่างไรบ้าง ไม่ใช่การขอแนวทางเยียวยาจาก ทอท. ซึ่งไม่ได้ขู่ และไม่ได้ท้าทาย เพราะหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคิงเพาเวอร์ฯ ก็จะอยู่ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ทอท. ว่าจะยกเลิกสัญญา หรือมีแนวทางออกอื่นหรือไม่ อาทิ การแก้ไขสัญญาฯ ปรับลดการจ่ายส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน โดยสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าหนักใจของ ทอท. แน่นอน เพราะหากทำผิดพลาดสามารถเกิดการฟ้องร้องได้หลายประเด็น ดังนั้นต้องศึกษาให้ดี และต้องมีคำตอบจากหน่วยงานที่เป็นกลาง
แนวทางที่เป็นไปได้หากตัดสินใจไม่ยกเลิกสัญญาฯ ก็คือ การปรับลดการจ่ายส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน แต่ ทอท. ก็ต้องพิจารณาให้ดีว่าต้องปรับลดในสัดส่วนเท่าใด และทำได้มากน้อยเพียงใด ที่สำคัญต้องไม่ทำให้รัฐ และ ทอท. เสียประโยชน์ แต่ทั้งนี้ในการปรับลดฯ ทอท. ต้องพิจารณาให้ดี เพราะหากพิสูจน์ได้ว่า การเปิดประมูลคราวที่แล้วรายอื่นให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ก็จะเกิดปัญหาฟ้องร้องกันตามมาภายหลังได้
เรื่องการยกเลิกสัญญากับคู่สัญญาเชิงพาณิชย์ของ ทอท. เป็นเรื่องปกติ ซึ่งปัจจุบัน ทอท. มีคู่สัญญากว่า 1 พันสัญญา โดยที่ผ่านมามีการยกเลิกสัญญา และยึดวงเงินค้ำประกัน (Bank Guarantee) เดือนละกว่า 10 สัญญา เพราะคู่สัญญาไม่ไหวไปต่อไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้ของ ทอท. จากคิงเพาเวอร์ฯ อยู่ที่ประมาณ 17% ของรายได้ทั้งหมด 3.6 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้คิงเพาเวอร์ฯ มีค่าตอบแทนที่ยังคงค้างชำระอยู่ แต่ยังไม่เกินวงเงินค้ำประกันที่คิงเพาเวอร์ฯ วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญา ซึ่งถือเป็นหลักประกันทางการเงินของคู่สัญญาในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด