“พรรคเพื่อไทย” เดินหน้ายุทธการ “ไล่หนู-ดูดงูเห่า” แบบฉับพลันใส่ หลังนายใหญ่แห่งค่ายสีแดง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ส่ง “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไปยังกระทรวงมหาดไทย เจรจายื่นคำขาดกับ “อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เมื่อเย็นวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขอทวงคืนเก้าอี้รมว.มหาดไทยจากค่ายสีน้ำเงิน แลกเปลี่ยนกับ 2 เก้าอี้รัฐมนตรี คือ รมว.สาธารณสุข และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
แต่การเจรจาไม่เป็นผล “อนุทิน” สวมบทกร้าว สวนกลับทันควันว่าไม่รับข้อเสนอ แถมกลายเป็นการเปิดศึก “หนูพุ่งชนราชสีห์” โดย “เสี่ยหนู” ประกาศเตรียมพาพรรคภูมิใจไทยแต่งตัวสวมบทบาทฝ่ายค้าน พร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล
ยิ่งทำให้อุณหภูมิการเมืองไทยยิ่งร้อนแรง ทุกขุมค่ายต่างจับตาแรงขับเคลื่อน พร้อมกับดีดลูกคิดคำนวณสมการคณิตศาสตร์การเมือง โดยเมื่อกางยอดรวมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้มีจำนวน 495 คน จาก 16 พรรคการเมือง ซึ่งเสียงสส.กึ่งหนึ่งในสภาฯอยู่ที่ 248 คน
สำหรับเสียงสส.ฝ่ายรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ที่มี 325 เสียง หากตัดสส.พรรคภูมิใจไทย 69 เสียงออกไป ก็จะเหลือ 256 เสียง จาก 11 พรรค ได้แก่ 1.พรรคเพื่อไทย 142 เสียง 2.พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง 3.พรรคกล้าธรรม 26 เสียง 4.พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง 5.พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง 6.พรรคประชาชาติ 9 เสียง 7.พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง 8.พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง 9.พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง 10.พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง 11.พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง
และแม้พรรคกล้าธรรมมีตัวเสริมเป็น “สส.งูเห่า” เลื่อยจากฝ่ายค้าน 5 เสียง จะทำให้มีสส.เพิ่มเป็น 261 เสียง แต่ก็เข้าตำรารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ จึงต้องใช้ยุทธการดูด สส.งูเห่าเพิ่มเพื่อประคองเสถียรภาพของ “รัฐบาลอิ๊งค์ 2” ด้วยของขวัญชิ้นใหญ่ คือการเกลี่ยโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีให้ “ก๊วนงูเห่า” รายใหญ่ๆ หรือใช้สูตรเดิมด้วยการแจกกล้วยล่อสส.งูเห่าเข้ารัง
นับเป็นการเปิดศึกทางการเมืองสุดร้อนแรง แต่ไม่ใช่แค่การเอาชนะกันเพียงแค่นี้ เพราะยังต้องปูทางไปถึงสงครามครั้งต่อไปด้วย
และการที่ “นายใหญ่” หักดิบค่ายสีน้ำเงินเช่นนี้ ถือเป็นการวางหมากมองไปล่วงหน้าว่าหากให้ยังอยู่ร่วมรัฐบาล ลูกน้อยหอยสังข์อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” จะโดนขี่คอไปตลอดจนจบอายุรัฐบาล
ที่สำคัญ ในสงครามครั้งใหม่ คือการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง พรรคภูมิใจไทยดูมีความได้เปรียบเหนือใคร เพราะมีเครือข่ายสีน้ำเงินอยู่ในมือที่พร้อมแผ่อำนาจสร้างแต้มต่อได้ และเป็นตัวตัดแต้ม ขวางทางพรรคเพื่อไทยไม่ให้ได้ถือธงเข้าเส้นชัยตามเป้าหมายสูงสุด คือการเป็นรัฐบาลพรรคเดียว
ที่สำคัญ มีศึกระยะใกล้ที่จะถึงนี้ คือการเปิดประชุมรัฐสภา สมัยสามัญ เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.2568 มีวาระพิจารณาเรื่องใหญ่ คือการผลักดันนโยบายเรือธง อย่างร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโนอยู่ด้วยในสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ โดย “นายใหญ่” เห็นผลงานของค่ายสีน้ำเงินที่เล่นเกมกวนน้ำให้ขุ่น เพราะแม้บอกว่าพร้อมสนับสนุน แต่มีเงื่อนไขต้องทำประชามติก่อน จึงทำให้เห็นว่าถ้ายังมีพรรคภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล จะทำให้เป้าหมายใหญ่เรื่องนี้ไม่สำเร็จโดยง่าย
แต่ก็อย่าลืมว่านักการเมืองต้องมองการณ์ไกลวางแผนไปถึงอนาคต หลายคนดูลู่ทางการต่อสู่ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า ดังนั้น โอกาสที่จะมีสส.ลาป่วย ลาประชุมในการโหวตในสภาฯ วาระสำคัญๆจะเป็นไปได้สูง เสี่ยงผลโดนคว่ำกลางสภา
หนทางต่อไปของ “ครม.แพทองธาร 2” ยังไม่ทันจะตั้งไข่ ก็เห็นเดดโซนรออยู่รำไร หลายคนทำนายว่าคงจะเดินหน้าไปได้ไม่เกินสิ้นปีนี้.