สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ว่าคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ ( เอฟดีเอ ) ออกแถลงการณ์ เมื่อวันจันทร์ เรื่องการเพิ่มคำเตือนบนเอกสารกำกับการใช้งาน วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบฉีดเข็มเดียว ที่พัฒนาและผลิตโดยบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ว่ามีความเสี่ยงการเกิด “อาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรงและพบได้ยาก” ต่อระบบประสาท นั่นคือ กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร ( จีบีเอส )

ทั้งนี้ รายงานของเอฟดีเอยืนยันว่า อาการดังกล่าว "ยังคงพบได้ยากมาก" หลังการฉีดวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน อ้างอิงจากผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันแล้วประมาณ 12.8 ล้านคนในสหรัฐ เบื้องต้นพบรายงานการเกิดภาวะจีบีเอสอย่างน้อย 100 เคส จากจำนวนดังกล่าว 95 เคสมีอาการหนัก และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย โดยส่วนใหญ่ล้มป่วยประมาณ 6 สัปดาห์หลังรับวัคซีน
ขณะที่จอห์นสันแอนด์จอห์นสันออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมา ว่ากำลังปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดกับเอฟดีเอ และหน่วยงานสาธารณสุขอีกหลายแห่งของสหรัฐ เกี่ยวกับความผิดปกติต่อระบบประสาท อย่างไรก็ตาม จอห์นสันแอนด์จอห์นสันเน้นย้ำว่า เป็นภาวะผิดปกติที่พบได้ยากมาก
ในเวลาเดียวกัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ( ซีดีซี ) รายงานเพิ่มเติมในเรื่องนี้ ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชาย และมีอายุมากกว่า 50 ปี ส่วนวัคซีนที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเอ ซึ่งปัจจุบันมีใช้งานกันแพร่หลายอย่างน้อย 2 รายการ คือ ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค และโมเดอร์นา มีแนวโน้มการเกิดอาการจีบีเอสเช่นกัน และไม่ได้สูงไปกว่าการใช้วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
อนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป ( อีเอ็มเอ ) "แนะนำ" ให้บริษัทแอสตราเซเนกาเพิ่มคำเตือน แบบเดียวกับที่เอฟดีเอเพิ่งแจ้งกับจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน กับวัคซีนที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งใช้เทคโนโลยีไวรัล เวกเตอร์ เหมือนกัน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES